<ศิลปะแห่งสมองของนักบินที่เร็วกว่า AI แต่ติดคอขวดอยู่นิดนึงตรงที่ ‘คิดได้ทีละเรื่อง’>
.
ลองจินตนาการว่าหากเรากำลังนั่งอยู่ใน Cockpit (ห้องนักบิน) เสียงเตือนแทรกผ่านหูฟังนักบินดัง ‘Ding’ ขึ้นมา
.
เครื่องหมาย Master Caution กระพริบ
.
วิทยุก็เรียกในเวลาเดียวกัน
.
เราหันไปมองหน้าจอ ..
.
แต่สายตากำลังไล่ดูเกจวัดน้ำมันเชื้อเพลิง
.
ขณะเดียวกัน มือขวากำลังคุม Cyclic (คันบังคับของนักบิน ฮ.)
.
.. และนี่คือวินาทีที่ระบบประมวลผลข้อมูลของ ‘มนุษย์’ กำลังถูกใช้งานแบบเต็มสูบ
.

.
เราสามารถรับข้อมูลผ่านตา หู จมูก ผิวหนัง ผ่านผัสสะทั้ง 5
.
และแปลความหมายมันในเวลาเพียงไม่กี่มิลลิวินาที
.
งานวิจัยยกตัวอย่าง ‘การรับลูกคริกเก็ต หรือการตีแบดมินตัน’ ซึ่งต้องใช้สายตา สมอง และร่างกาย ร่วมกันคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจภายในเสี้ยววินาที
แม้แต่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ยังใช้เวลานานกว่าสมอง
.
แต่…แม้มันเร็ว
.
สมองก็ไม่ได้อัจฉริยะตลอดเวลา
.
ตำราการบินอธิบายว่ามนุษย์อย่างเราๆมีระบบหนึ่งที่เรียกย่อๆว่า CDM หรือ Central Decision Maker .. มันคือระบบอะไร
.

.
ในระบบของสมอง เรามีศูนย์บัญชาการที่เรียกว่า Central Decision Maker เปรียบได้กับ “นักบินผู้ควบคุมและตัดสินใจกับทุกคำสั่งการที่ได้รับโจทย์มา” มันทำงานร่วมกันกับระบบต่างๆต่อไปนี้
.
– Receptors คือ เซ็นเซอร์รับข้อมูลจากประสาทสัมผัส
– Attentional Mechanism คือ กลไกคัดเลือกว่าอะไรควรใส่ใจ
– Perception คือ กระบวนการตีความ
– Motor Programmes คือ คำสั่งให้ร่างกายลงมือทำ
– Memory – ความทรงจำระยะสั้นและยาวที่มนุษย์นำมาใช้ประกอบการตัดสินใจ (หาอ่านเรื่อง Memory ได้ในโพสก่อนๆ)
สิ่งที่น่าตกใจก็คือ
.
“สมองสามารถ รับรู้หลายสิ่งพร้อมกัน ได้ .. แต่สามารถ ตัดสินใจได้เพียงทีละเรื่อง เท่านั้น”
.
เราจึงไม่สามารถสแกนเครื่องวัด, ตอบวิทยุ, คิดแผนสำรอง และเลี้ยงแก้วเอสเปรสโซ่ที่วางอยู่บนเครื่องไม่ให้หกได้ในเวลาเดียวกัน
เราทำได้แค่ ‘สลับเร็ว’ จนดูเหมือนมัลติทาสก์เท่านั้นเอง
.
คำถามต่อไปคือ ทำไมเป็นงั้นล่ะ คำตอบคือ .. คนเราจะมีสภาวะที่เรียกว่า Bottleneck Effect – มันคืออะไร
.

.
เวลาที่ต้องใช้ ‘การคิด’ หรือ ‘การตัดสินใจโดยเจตนา’
.
สมองจะติดอยู่ในช่วงคอขวดทันที
.
เหมือนเครื่องบินที่กำลังจะขึ้นจากสนามบินที่มีรันเวย์เดียว จะขึ้นพร้อมกัน 3 ลำไม่ได้ ต้องรอต่อคิว!
.
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ
.
ขณะเรากำลังตัดสินใจที่จะแก้ไขเรื่องไฟโชว์มากกว่าหนึ่งดวงบนแผงเตือนใน Cockpit ว่าจะจัดการกับไฟดวงไหนก่อน
.
เสียงวิทยุก็ดังขึ้น
.
แต่เรากลับไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย .. เพราะความสนใจของเรา ล็อกอยู่กับการตัดสินใจแรกที่เห็น
.

.
เราอาจคิดว่า ‘ความใส่ใจ’ ไม่มีต้นทุน
.
แต่จริงๆ แล้วมันคือพลังงาน
.
และสมองมีแบตแค่ก้อนเดียว
.
ใช้กับเรื่องหนึ่ง ก็เหลือน้อยลงสำหรับเรื่องอื่น
.
นี่คือเหตุผลว่าทำไม Cockpit Warning ที่เป็นเสียง จึงได้ผลดีกว่าแสงไฟเตือนบนหน้าจอตอน Workload สูง (มีภาระกรรมหลายอย่าง)
.
เพราะเสียงเจาะทะลุ ‘ความวุ่นวายของความคิด’ ได้ง่ายกว่าแสงที่ต้องใช้การมอง
.
เรื่องต่อไปคือการแบ่งระดับความตื่นตัวของคนเรา เป็นเรื่องของการตื่นตัวและการเฝ้าระวังหรือที่เรียกว่า Arousal & Vigilance (มีอธิบายเสริมท้ายบทความ)
.

.
เป็นเรื่องปกติที่ระดับความตื่นตัวของนักบินจะเปลี่ยนไปตลอดเที่ยวบิน
.
ตอนบิน Cruise (บินตรงบินระดับ) → สมองลดระดับการใส่ใจ (เพื่อประหยัดพลังงาน)
ตอน Final Approach (ขาร่อนลงสนามบิน) → สมาธิพุ่งสูงขึ้น
.
แต่ถ้าสมาธิสูงเกินไปก็ไม่ดี !
เหมือนเครื่องยนต์ที่ร้อนเกินไป มัน Overheat ได้
.
ทฤษฎีแบ่งระดับความตื่นตัวได้สองแบบคือ
.

.
เกิดจากความเครียด ภาระงานสูง อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีเวลาน้อย ทำให้ตัดสินใจเร็ว แต่ผิด ลืมสิ่งที่ต้องทำ
บางครั้งใช้พฤติกรรมอัตโนมัติที่อาจไม่เหมาะกับสถานการณ์
.

.
เกิดจากการนอนน้อย ความเบื่อ ไฟลต์ยาว
ทำให้ขาดการตรวจตรา หลุดโฟกัส
อาจมองข้ามสิ่งเล็กๆ ที่อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่
.

.
แต่คือคนที่ รู้จักปรับระดับความใส่ใจให้เหมาะกับแต่ละช่วงของเที่ยวบิน ดังนั้นงานบิน จึงเป็นงานที่ต้องการความตื่นตัวที่พอดี
ถามว่าแล้วสมองจะรู้ได้ไงว่าเมื่อไรควรโฟกัสขนาดไหน นี่คือเรื่องของ Selective Attention
.

.
รู้ไหม? เวลาที่เราอยู่ในงานเลี้ยงที่เสียงดังสุดๆ แต่กลับได้ยินชื่อตัวเองเมื่อมีคนเรียก .. แม้จะไม่ได้ฟังอยู่
นั่นแหละเรียกว่า ‘Cocktail Party Effect’
.
สมองเลือก ‘ตั้งรับ’ คำสำคัญ แม้จะไม่ได้ตั้งใจฟัง จึงเป็นเหตุผลให้บรรดาอากาศยานต่างๆออกแบบสัญญาณเตือน เสียงเตือน ไฟเตือน ในห้องนักบินเพื่อกระตุ้นเร้าให้นักบินใส่ใจและโฟกัสถูกเรื่อง ถูกเวลา
.
สรุปได้ว่า ในห้องนักบิน เราใช้หลักการนี้กับ เสียงเตือน แสงกระพริบ ความสั่นสะเทือนแปลกๆ
การออกแบบ Cockpit จึงต้องอิงกับกลไกนี้
.
เพื่อช่วยให้สมอง “เห็น-ฟัง-รู้สึก” สิ่งที่ควรรู้ก่อนที่จะสายเกินไป
.
โดยสรุป
.

.
นักบินมืออาชีพคือคนที่ จัดลำดับงานได้ไว รู้ว่างานไหนควรให้ความใส่ใจก่อน
.
มี SOP ที่ช่วยลดการคิดซ้ำ
.
การ “ฝึก” คือการทำให้งานบางงานกลายเป็นเรื่องเกือบจะอัตโนมัติ
.
เช่น Checklist, Call-out, หรือ Maneuver ที่ทำซ้ำๆบ่อยๆ
.
เพื่อลดภาระสมอง และปล่อยให้ CDM (central decision maker) มีที่ว่างพอสำหรับ ‘สิ่งที่ยังไม่เคยเกิด’
.

.
มีงาน, ความคิด, อารมณ์, ความสัมพันธ์
ที่ต่างก็ส่งเสียง “Master Caution” พร้อมๆกัน
.
หากเราไม่เข้าใจระบบประมวลผลของสมอง
.
เราอาจพังเพราะ ‘เราคิดทีละเรื่องไม่ได้’
.
แต่เมื่อเรารู้ว่าเรามีข้อจำกัด
.
เราเรียนรู้ที่จะ ‘จัดลำดับ’ พักให้พอ และไม่หลงกลความวุ่นวายเหล่านั้น
.
เพราะนักบินที่ดีที่สุด ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด
.
แต่คือคนที่ สามารถฝึกคิดได้ดีทีละเรื่อง .. ในเวลาที่ควรคิด วางแผน และตอบสนองกับมันอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำ
…..

.
– Central Decision Maker (CDM) คือระบบประมวลผลกลางในสมองที่ทำหน้าที่ตัดสินใจอย่างมีสติ โดยใช้ข้อมูลจากประสาทสัมผัส ความจำ และการประเมินสถานการณ์ ก่อนจะสั่งการให้ร่างกายตอบสนอง มักเกี่ยวข้องกับสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ซึ่งสามารถตัดสินใจได้ครั้งละหนึ่งเรื่องเท่านั้น
.
– Arousal = การตื่นตัวของร่างกายและจิตใจ
หมายถึงระดับความพร้อมของสมองในการรับมือกับสิ่งเร้า (ทั้งภายนอกและภายใน)
.
– Vigilance = การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
คือความสามารถในการรักษาระดับความใส่ใจต่องานหรือสิ่งที่อาจเป็นอันตราย แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อย
.
– Multitasking คือการทำอะไรหลายๆอย่างได้พร้อมกัน
แต่ว่าสมองมนุษย์มีระบบ ‘ความใส่ใจ (Attention)’ ที่สามารถโฟกัสได้ทีละเรื่อง เท่านั้น (เรียกว่า Serial Processing)
สิ่งที่เรียกว่า Multitasking จริงๆแล้วคือ ‘การสลับความสนใจอย่างรวดเร็ว’ (Task Switching) ซึ่งจะทำให้ สมาธิลดลง ทำสิ่งผิดพลาดได้ง่ายขึ้น และใช้พลังงานสมองมากขึ้น
ประสิทธิภาพจะแย่กว่าการทำทีละเรื่อง
.

.
– การขับรถ (ที่คุ้นชินแล้ว) + ฟังเพลง
– นักบินควบคุมเครื่องบิน + พูดคุยกับผู้โดยสาร
– นักดนตรีเล่นกีตาร์ + ร้องเพลง
.
เพราะงานอัตโนมัติใช้ ‘สมองส่วนล่าง’ ไม่แย่งทรัพยากรจาก ‘สมองส่วนที่ใช้ตัดสินใจ’
.
สรุปสำหรับการบินแล้ว Multitasking จริงๆไม่มีอยู่ในการบิน นักบินมืออาชีพแค่ ‘จัดลำดับงานเร็ว + สลับงานอย่างมีระบบ’
ระบบ SOP, Flow Check, การฝึกซ้ำ ฯลฯ .. มีไว้เพื่อเปลี่ยนงานซับซ้อนให้กลายเป็นงานกึ่งอัตโนมัติเพื่อให้ ‘สมองส่วนคิด’ ว่างพอไว้รับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
.
– อธิบายเสริมในด้านการรับรู้ (Perception) และการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ซับซ้อนในชีวิตจริง
สมองมนุษย์เร็วและแม่นยำกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างชัดเจน เพราะสมองสามารถประมวลผล ภาพ เสียง การเคลื่อนไหว ได้แบบ ‘เชิงบริบท’ (Context-aware)
.
ตัวอย่างเช่น เด็กอายุ 4 ขวบสามารถแยกแยะใบหน้าแม่กับคนแปลกหน้าได้เร็ว โดยไม่ต้องสแกนพิกเซล
.

.
คอมทำงานแม่นยำ ไม่มีอารมณ์ ไม่เบลอ ไม่ล้า
.
แต่ในงานด้านการบิน สมองมนุษย์ยังดีกว่าคอมพิวเตอร์ในบางบริบทที่สำคัญ เช่น
.
– การสังเกตสิ่งผิดปกติแบบรวมภาพรวม (Situational Awareness)
– การตัดสินใจจากประสบการณ์
– การด้นสดกับบางสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน (Novel Situation)
.
นี่คือเหตุผลว่าทำไมระบบอัตโนมัติในเครื่องบิน (เช่น Autopilot) จึงต้องมี ‘นักบิน’ คอยกำกับอยู่เสมอ
.

.
อ่านบทความอื่นๆได้ใน Facebook Page : Hovering Inspirations 👇
https://www.facebook.com/profile.php?id=61558412223812&mibextid=ZbWKwL