การคัดให้ผ่าน กับ สร้างให้เติบโต นี่คือหน้าที่ที่ต่างกันของ ‘ระบบคัดเลือก’ และ ‘ระบบฝึกนักบิน’
.
สอบผ่าน ไม่ได้แปลว่าคุณพร้อมจะบินกับใครไปตลอดชีวิต และ “การฝึกให้บินได้ .. ก็ไม่เหมือนการฝึกให้คิดเป็น”
.
หลายคนสงสัยว่า ทำไมบางครั้ง เรามีระบบการคัดเฟ้นคนอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะการสอบคัดเลือกอะไรก็ตามแต่ ทุกแวดวง พอได้คนเข้าวงการไปแล้ว เวลาผ่านไป เขาคนนั้นเปลี่ยนไป จากหัวดีเป็นหัวทึบ จากขยันสุดโต่งเป็นขี้เกียจสุดๆ หรือจากคนไร้อีโก้ พอวันเวลาผ่านไปกับค่อยๆมีอัตตาที่พุ่งขึ้นสูงลิบ
.
ด้วยเพราะ การคัดคนเป็นแค่ประตูด่านแรกเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่ยังต้องให้ความสำคัญก็คือ ‘ระบบ’ ที่จะฝึกฝนและรักษาคนที่เราคัดเลือกมา ให้เป็นคนที่สามารถทำงานได้อย่างมีคุณภาพ เข้ากับคนในทีมได้เป็นอย่างดี
.
การคัดให้ผ่าน ความแม่นยำที่วัดได้ มันก็แค่บางส่วน
.
ทุกวันนี้ หลายองค์กรมีเครื่องมือคัดกรองคนที่ล้ำมาก ตั้งแต่แบบทดสอบ IQ, psychometric test, PCSM (Pilot Candidate Selection Method), ไปจนถึง simulator-based assessment
.
งานวิจัยในวารสารจิตวิทยาประยุกต์ (Journal of Applied Psychology) พบว่า คะแนนจากการคัดเลือกนักบินสามารถทำนาย “ความสำเร็จในการฝึกขั้นต้น” ได้ในระดับปานกลางถึงดี (ค่าสหสัมพันธ์เฉลี่ยประมาณ 0.4–0.5 แปลว่า การคัดเลือกมีความแม่นยำระดับปานกลางถึงค่อนข้างดี แต่ไม่ได้ทำนายผลได้ว่าใครจะสำเร็จหรือไม่)
.
สมมติมีผู้สมัคร 100 คน คัด Top 20 คนมาแล้ว จากการคำนวณทางสถิติสามารถคาดการณ์ได้ว่า 12 – 15 คน ในกลุ่มนี้จะประสบความสำเร็จแน่ๆในการฝึกบิน แต่ก็ไม่การันตีพฤติกรรมของพวกเขาอย่างถาวร
.
แม้ว่าพวกเขาอาจจะผ่านการสอบ บินตามโปรไฟล์ได้ ท่องเช็กลิสต์ถูกแบบเป๊ะๆ
.
แต่สิ่งที่แบบทดสอบเหล่านี้ยังวัดไม่ได้ ก็คือ
.
– การตัดสินใจในวันที่เหนื่อยล้า
– วิธีพูดกับเพื่อนร่วมงาน ที่มาจากวัฒนธรรมต่างกัน
– ท่าทีเวลารับฟังคำวิจารณ์จาก Instructor
– หรือแม้แต่การ “อยู่กับความผิดพลาดของตัวเอง” โดยไม่คิดแก้ตัว
.
เพราะชีวิตของการเป็นนักบินที่แท้จริง เริ่มต้น ตั้งแต่สอบผ่านและย่างเท้าเข้าสู่โรงเรียนการบิน ซึ่งมันต้องผ่านอะไรอีกเยอะมาก
.
การสร้างให้เติบโตคือการฝึกอย่างต่อเนื่อง มันคือโครงสร้างหลักของระบบที่ดี
.
ในอุตสาหกรรมการบินสมัยใหม่ ไม่มีใครการันตีได้ว่า “เมื่อจบการฝึกแล้ว = พร้อมบินตลอดชีวิต”
.
ทุกองค์กรที่มีมาตรฐานต่างยอมรับแนวคิดของ CPD (Continuing Professional Development = การพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง) ซึ่งเน้นว่าใบอนุญาตไม่ใช่ ‘ใบเบิกทางตลอดชีวิต’ แต่มันคือใบอนุญาตที่ให้โอกาสเราเริ่มต้นเรียนรู้บนเส้นทางที่จริงจังสายนี้
.
<CPD is not a course. It’s a culture.>
.
CPD คือการขัดเกลาทักษะทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง สายการบินต่างๆมีโปรแกรมมากมายสำหรับนักบินในสังกัด เช่น
.
– Recurrent Training (การฝึกบินเพื่อรักษาความชำนาญ) ทุก 6-12 เดือน
– Scenario-Based Training เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน
– การฝึกอบรม CRM (Crew Resource Management) อย่างสม่ำเสมอ
– การเรียนรู้จากเหตุการณ์จริง (Case-based Learning)
.
เพราะการบินไม่ใช่แค่ ทักษะการใช้มือคอนโทรลเครื่องเพียงอย่างเดียว
.
แต่มันคือการ ‘ใช้สมองและหัวใจ’ ควบคุมการตัดสินใจ ซึ่งเป็นที่พึ่งของคนทั้งลำบนท้องฟ้า
.
หนึ่งในเครื่องมือฝึกที่ทรงพลัง เราเรียกว่า EBT (Evidence-Based Training) จากการฝึกแบบเดิมๆอย่างการจดจำขั้นตอนต่างๆ สู่การเข้าใจสถานการณ์แบบถึงแก่น
.
EBT คือแนวคิดที่เปลี่ยนโลกการฝึกนักบินไปจากแต่ก่อนมาก
.
มันไม่ใช่แค่การฝึกบินให้ถูกต้องตามโปรไฟล์
.
แต่คือการฝึกให้ คิด วิเคราะห์ และ ตัดสินใจ ได้ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เคยซักซ้อมมาก่อน
.
การฝึกแบบเก่าคือการฝึกตาม Checkride Profiles แต่ EBT จะฝึกพฤติกรรมที่จำเป็นให้เสมือนโลกจริงให้มากที่สุด
.
ฝึกแบบเก่า วัดผลจากการทำได้ตามขั้นตอน
.
แต่ EBT วัดความเข้าใจและการตัดสินใจ
.
ฝึกแบบเก่า ยึดตามบทเรียนที่กำหนดไว้ตายตัว ในขณะที่ EBT ปรับตามสถานการณ์และข้อมูลจริงจากสายการบินที่รวบรวมสถิติไว้
.
ฝึกแบบเก่า Instructor มักบอกแค่ว่า “ถูกหรือผิด” ส่วน EBT Instructor จะกระตุ้นให้คิดว่า “ทำไมถึงเลือกแบบนี้”
.
สรุปแล้ว EBT คือการรวมพลังของ Human Factors, CRM และ real-world data เพื่อมาออกแบบการฝึก
.
สายการบินระดับโลกก็ล้วนนำ EBT มาผสมผสานในโปรแกรมการฝึกต่างๆ เช่นการฝึกบินเพื่อรักษาความชำนาญตามวงรอบของนักบิน
.
ในอดีต เราวัดนักบินว่า “ทำตามขั้นตอนได้ไหม”
.
แต่วันนี้ เราต้องถามให้ลึกยิ่งขึ้นไปอีกว่า “เข้าใจไหมว่า .. ทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ?”
.
นี่คือการเปลี่ยนผ่านจาก Compliance สู่ Competence
.
แนวคิด Evidence-Based Training (EBT) และ Competency-Based Training (CBT)
.
เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างการฝึกทั่วโลก
.
ไม่เน้นแค่ให้ทำตาม procedure
.
แต่เน้นการวัดทักษะจริง ในบริบทจริง
.
เช่น การจัดการกับความขัดแย้งในห้องนักบิน, ความสามารถในการโน้มน้าวลูกเรือให้ใจเย็นลงในภาวะวิกฤต รวมถึงการคุมอารมณ์ของตัวเอง
.
ฉะนั้นแล้ว การคัดซุปเปอร์คนเก่งๆเข้ามา ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้คนที่มีความพร้อมสุดๆแล้วเข้ามา
.
แล้วเราวัด ‘ความพร้อม’ ได้จากอะไร ?
.
เราอาจวัดพวกเขาได้ว่า
.
– เขาท่องเช็กลิสต์ได้ครบ
– เขาจำวิธีบินท่าทางต่างๆได้ครบถ้วนสมบูรณ์
– เขาสอบผ่าน skill test (การเช็กภาคอากาศ) โดยไร้ข้อบกพร่องภายใน 2 ชม.
.
ในขณะที่นักบินที่ใครๆ ก็อยากบินด้วยและนำทีมได้อย่างปลอดภัยตลอดรอดฝั่ง คือคนที่
.
– สื่อสารด้วยใจ .. ไม่ใช่เสียงดัง
– รู้ว่าเมื่อไหร่ควรรับผิดและเมื่อไหร่ควรรับฟัง
– และรู้ว่า “เก่ง” ต้องไม่ไปเบียดคนอื่นให้ “ด้อย”
.
นี่ต่างหากคือ ‘ความพร้อม’ ที่อยากฝึกให้ได้ และรักษาทักษะนี้ให้ได้ตลอดเส้นทาง
.
สุดท้าย นักบินที่จะเติบโตได้ตลอดการทำงานบนถนนสายนี้ ชีวิตจะไม่จบเพียงแค่การสอบคัดเลือกผ่านเข้ามาเรียนบิน การเช็กภาคอากาศผ่าน ได้ใบขับขี่ในครั้งแรกมาถือไว้
.
ใบอนุญาตช่วยให้เราบินได้อย่างถูกกฎหมาย
.
แต่ การไม่หยุดเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คือสิ่งที่ทำให้เราสามารถ “บินต่อไปได้เรื่อยๆ”
.
ปีกต้องหมั่นขัดเกลา เพราะยิ่งปีกแข็งแกร่งขึ้น อัตตาก็มักคับแน่นขึ้นตาม ต้องหมั่นสำรวจตัวเองในเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ
.
การคัดคนเข้าสู่ระบบ อาจไม่ยาก
.
ระบบฝึกนักบินในโรงเรียนการบินอาจขัดเกลาพวกเขาได้อีกชั้นหนึ่ง
.
ในขณะที่ระบบขององค์กรที่พวกเขาต้องเข้าไปอยู่ด้วยตลอดเส้นทางวิชาชีพนั้นสำคัญมาก
.
เพราะระบบจะช่วยขัดเกลาให้ทุกๆปีกได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
.
ผู้คนรอบตัวไม่ว่าจะเป็น กัปตัน, ผู้ช่วยนักบิน, ครูการบิน, ลูกเรือ, และผู้โดยสาร ล้วนเป็นกระจกชั้นดีที่จะส่องกลับมาให้เราได้เห็นว่า ..
.
เราคือคนที่เติบโตได้ หรือ คือคนที่แค่สอบให้ผ่านไปวันๆ ผ่านการคัดเลือกสบายๆได้ในทุกระดับ แต่กลับ .. สอบตกเรื่องการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น
.
ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ดีแน่ .. อย่างที่บอกไว้
.
อุตส่าห์คัดเลือกนักบินอย่างเข้มข้นกันมาแล้ว ก็ต้องสร้างให้พวกเขาได้เติบโตและมี ‘ความพร้อม’ อยู่บนเส้นทางนี้ตลอดไป
.

.
อ่านบทความอื่นๆได้ใน Facebook Page : Hovering Inspirations 👇
https://www.facebook.com/profile.php?id=61558412223812&mibextid=ZbWKwL
