เคยไหม? นั่งทำอะไรเพลินจนลืมเวลา ไม่มีเสียงในหัว ไม่มีความกังวล มีแค่เรา กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
.
เหมือนเวลาไหลไปโดยไม่รู้ตัว นั่นแหละ เราอาจกำลัง “หายตัวเข้าไปใน Flow”
.
Flow ไม่ใช่อะไรที่ลึกลับ แต่มันคือ “ภาวะลื่นไหล” – จุดที่ใจ สงบที่สุด และ ตื่นตัวที่สุด ในเวลาเดียวกัน
.
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
.
นักจิตวิทยาชาวฮังการีชื่อ Mihaly Csikszentmihalyi (มิฮาลี ชิคเซนมิฮาย) เป็นผู้ให้คำจำกัดความนี้ไว้
.
เขาบอกว่า Flow จะเกิดขึ้นเมื่อเรามี
.
1. เป้าหมายที่ชัดเจน (A clear set of goals and progress)
2. ความชัดเจนและฉับไว (Clear and immediate feedback)
3. ความสมดุลระหว่าง “ความยาก” กับ “ทักษะที่เรามี” (A Good Balance)
.
คราวนี้ลองมาแกะตัวอักษรแต่ละตัวของคำว่า FLOW เพื่อสะท้อนภาวะนี้ว่ามันมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
.
F – Focused Goal (เป้าหมายชัดเจน)
.
งานที่ดีต้องมี “จุดหมาย” ที่ชัด ไม่ใช่แค่ทำไปเรื่อยๆ
เป้าหมายคือเข็มทิศที่จะนำเราไปถึง Flow
ถ้าทำไปโดยไม่รู้จะไปไหน เราจะ “ไหล” อย่างไร้ทิศทาง
.
L – Live Feedback (ฟีดแบ็กที่ชัดและไว)
.
ความสุขเกิดขึ้นเมื่อเรารู้ว่า “สิ่งที่ทำอยู่มันกำลังได้ผล”
ฟีดแบ็กจึงเหมือนกระจก ที่สะท้อนให้เราเห็นว่า .. กำลังมาถูกทาง
มันช่วยปรับแต่ง ‘ระหว่างทาง’ ให้ทันเวลา และรักษา Momentum ของ Flow เอาไว้
.
O – Optimal Balance (สมดุลระหว่างความท้าทายกับความสามารถ)
.
งานไม่ควรยากเกินไปจนเครียด หรือ ง่ายเกินไปจนเบื่อ
Flow จะเกิดขึ้นเมื่อ “ความท้าทาย” มาแบบพอดิบพอดีกับ “ทักษะ” หรือ “สมรรถนะ” ที่เรามี
ไม่มากไป ไม่น้อยไป – มันคือเรื่องของความสมดุล
.
W – With Full Attention (มีสมาธิเต็มร้อย ไม่มีสิ่งรบกวน)
.
ความเงียบ ไม่ได้แปลว่าไม่มีเสียง
แต่มันคือการที่จิตใจ “เงียบ” จากความฟุ้งซ่าน
ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด แค่ปิดมือถือก็อาจเพียงพอแล้ว
.
….
.
ถามว่าเรื่อง “ความสมดุล” หนึ่งในองค์ประกอบของ FLOW ที่ว่ามานั้น .. เราวัดได้ยังไง ?
.
มิฮาลี ได้ออกแบบแผนภาพ Flow Model อธิบายระหว่าง “ยากเกินไป” กับ “ง่ายเกินไป” ว่าเป็นอย่างไร
.
เขาอธิบายว่า
.
– ถ้างานยากเกินไป แต่เรายังไม่เก่งพอ → เราจะวิตกกังวล
– ถ้างานง่ายเกินไป แต่เรามีทักษะสูง → เราจะ เบื่อ
– ถ้างานที่ท้าทายพอดี และ ทักษะเราก็พอดี → เราจะเข้าสู่ภาวะลื่นไหล (Flow)
.
Flow จึงไม่ใช่จังหวะเดียวกับ “สบาย” แต่เป็นจังหวะของอะไรที่มัน “ใช่เลย !”
.
(เทคนิคนี้เหมาะกับครูการบิน หรือครูฝึกในศาสตร์ด้านต่างๆได้นำมาปรับใช้เวลาฝึกสอนลูกศิษย์ นั่นคือ เช็กให้ได้ก่อนว่านักเรียนของเรามีทักษะระดับไหน เหมาะที่จะป้อนบทเรียนระดับใดให้พวกเขาได้ฝึก เพราะหากหาจุดที่ทำให้พวกเขาเกิดสภาวะ Flow ขณะเรียนรู้ได้ จะช่วยดึงศักยภาพของพวกเขาออกมาแบบไม่ยั้งเลยทีเดียว)
.
จะว่าไปแล้ว ภาวะนี้ สามารถอธิบายเสริมในบริบทของพุทธปรัชญาได้ดีมากๆ ลองมาแกะเรื่องนี้ให้ลึกกันอีกสักเล็กน้อย
.

.
ในพระพุทธศาสนา สมาธิแบ่งเป็น 3 ระดับได้แก่
.
– ขณิกสมาธิ (สมาธิชั่วขณะ)
– อุปจารสมาธิ (สมาธิเข้าใกล้ความตั้งมั่น)
– อัปปนาสมาธิ (สมาธิที่แน่วแน่ ลึกซึ้ง)
.
Flow ตามแนวคิดของ มิฮาลี นั้นใกล้เคียงกับ อุปจารสมาธิ มากที่สุด เพราะต้องการจิตที่แน่วแน่ มีความสุข มีปีติ จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำโดยเต็มใจ แม้จะยังไม่ลึกพอจะเป็นอัปปนาสมาธิ เพราะยังมีอารมณ์ของ “ผู้กระทำ” อยู่ แต่ก็เพียงพอที่จะทำกิจใดกิจหนึ่งให้บรรลุผลได้อย่างดีเยี่ยม
.
แม้ไม่ต้องนั่งหลับตา แม้เกิดขึ้นท่ามกลางชีวิตประจำวัน เช่น นั่งวาดรูป เล่นกีฬา หรือแม้กระทั่งเวลาบังคับอากาศยานอยู่บนท้องฟ้า หรือขณะกำลังสอนลูกศิษย์อยู่บนอากาศ บางคนรู้สึกไหลลื่นดำดิ่งไปกับสมาธิแบบนี้
.

.
ในอริยมรรคมีองค์ 8 (หนทางพ้นทุกข์ในพุทธศาสนา) มี 2 ข้อที่เกี่ยวกับการฝึกจิต ได้แก่
.
– สัมมาสติ = การระลึกรู้ ขณะจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน
– สัมมาสมาธิ = จิตตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง
.
ในภาวะ Flow
.
ใจของเราจะไม่ฟุ้งไปกับอดีต ไม่กังวลอนาคต → นี่คือ “อยู่กับปัจจุบัน” (Present Moment Awareness)
.
เราจะรู้สึก “อยู่กับสิ่งที่ใช่” ไม่ฝืน ไม่ขัดแย้ง → นี่คือ “ความถูกต้องทางจิต” (Right Concentration)
.

.
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อิทธิบาท 4 คือหลักแห่งความสำเร็จ ประกอบด้วย
.
1) ฉันทะ – ความรัก ความพอใจในสิ่งที่ทำ
2) วิริยะ – ความเพียร
3) จิตตะ – ความตั้งใจมั่น
4) วิมังสา – การใช้ปัญญา ไตร่ตรอง
.
Flow จะเกิดไม่ได้เลย ถ้าเราไม่ “รักสิ่งที่ทำ” → นี่คือ ฉันทะ
และมันจะไม่เกิดหากเราไม่จดจ่อหรือใส่ใจกับมันอย่างเต็มที่ → นี่คือ จิตตะ
.
ดังนั้น Flow ไม่ใช่แค่ทำเพลินๆ
.
แต่มันคือความสุขที่เกิดจากการรู้จักใช้ฉันทะเป็นเชื้อเพลิง ใช้วิริยะเป็นแรงส่ง ใช้จิตตะเป็นพวงมาลัย และมีวิมังสาเป็นเข็มทิศนำทาง
.

.
ในทางปรัชญาพุทธ
.
“สุญญตา” (ความว่าง) ไม่ใช่ “ไม่มีอะไร” แต่คือ ความว่างจากอัตตา คือภาวะที่เราไม่เอา “ตัวกูของกู” ไปยึดในสิ่งที่ทำ
.
Flow เป็นช่วงเวลาที่ “อัตตา” หายไปชั่วคราว
.
– เราไม่ห่วงว่าใครจะชม
– เราไม่เปรียบเทียบ
– เราไม่ได้ทำเพื่อยืนยันตัวตน
.
เราทำเพราะ รักในสิ่งที่ทำ อย่างไม่มีเงื่อนไข
.
นั่นจึงเป็น “ภาวะว่าง” ที่เต็มไปด้วยพลังที่สร้างสรรค์
.
ถามว่า .. ทำไมชีวิตเราควรมี Flow?
.
เพราะมันคือความสุขในแบบที่ไม่ต้องรอให้ใครอนุญาต
.
ไม่ต้องรอวันหยุด ไม่ต้องรอรางวัล
.
มันคือความสุขที่เกิดขึ้น ‘ระหว่างทาง’
.
เวลาอยู่ใน Flow เราจะรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำงาน
.
ทั้งที่เรากำลังทำงานหนักที่สุด .. ด้วยหัวใจที่เบาสุด
.
ถ้าวันนี้ใครยังไม่เจอ Flow ก็ไม่เป็นไร
.
บางทีเราอาจแค่ยังหาสิ่งที่ “พอดี” ไม่เจอ
.
ลองค่อยๆ ขยับ ปรับปลี่ยนวิธี ลองปรับสมดุล
.
เพราะ Flow ไม่ได้เป็นเรื่องของ “คนเก่ง”
.
แต่เป็นของคนที่กล้าลอง “จดจ่อกับสิ่งตรงหน้า .. อย่างจริงใจและจริงจัง”
.

.
แต่ขอแค่เรา “ไหลไปกับสิ่งที่เรารัก” อย่างลื่นไหล เท่านั้นก็พอแล้ว
.

.
อ่านบทความอื่นๆได้ใน Facebook Page : Hovering Inspirations 👇
https://www.facebook.com/profile.php?id=61558412223812&mibextid=ZbWKwL