ปรัชญาพายุ ‘ปาบึก’ กับ ‘โควิด’
(‘การถ่อมตน’ กับ ‘การปรับตัว’)
.
เขาขับรถผ่านหน้าศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช มองเห็นต้นตะเคียนทอง 10 กว่าต้น แต่ละต้นอายุมากกว่า 30 ปี โค่นหักลงด้วยฝีมือของพายุโซนร้อนเมื่อคืนก่อน พายุที่ชื่อว่า ‘ปาบึก’
.
บ้านเรือนละแวกนั้นเสียหายหนัก พายุไม่เคยปรานีใคร เขาอยู่ภาคใต้มาสามปีแล้ว ครั้งนี้โหดจริง เขาเชื่อว่าคนใต้ไม่เคยกลัวฝน แต่ทุกคนกลัวพายุ ..ไม่มีใครเปลี่ยนเส้นทางพายุได้
.
ตะเคียนทองเหล่านั้นยืนต้นแข็งกล้ามาร่วม 3 ทศวรรษ ไม่อาจต้านทานพายุที่เดินทางด้วยความเร็วกว่า 75 กม.ต่อชม. เขาเหลือบเห็นกอไผ่กอหนึ่ง ยังอยู่ที่เดิม หากต้นไม้มีความรู้สึก ตะเคียนคงจะอยากเป็นเหมือนไผ่กอนั้น มันลู่ตามลมเสมอ ..มันไม่โค่น
.
พายุสงบ ..ไผ่ยังอยู่รอด ตะเคียนล้มไม่เป็นท่า..
.
ต้นเดือนมกราคม พ.ศ.2562 เป็นสัปดาห์ที่ทุกโรงเรียนปิด ผู้คนอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีใครกล้าออกไปเผชิญแรงลมนั้น หากแต่มันไม่ใช่แค่ลม มันคือ ‘พายุ’
ทว่า คนที่กลัวส่วนใหญ่คือผู้สูงอายุ ขณะที่ส่วนน้อย..ไม่กลัว
.
ไม่แปลกที่คนแก่ส่วนใหญ่จะกลัว โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี ชาวบ้านแหลมตะลุมพุก พวกเขายังจดจำภาพ ‘ลมงวงช้าง’ หลายสายที่ปรากฏได้เมื่อ 57 ปีก่อน หากแต่ภาพพายุที่กำลังกระหน่ำทลายบ้านเรือนในอดีตนั้นมันฝังใจแน่นกว่า
.
เมื่อคนแก่เตือน คนหนุ่มสาวบางกลุ่มอาจไม่เข้าใจ เหตุการณ์พายุโซนร้อนแฮเรียตที่แหลมตะลุมพุกเมื่อปี พ.ศ. 2505 มันติดตา จนไม่อาจสลัดภาพเหล่านั้นทิ้งได้ ความพินาศกินมูลค่ากว่าพันล้านบาท ผู้เสียชีวิตมีเกินกว่า 900 คน บ้านเรือนพังกว่า 20,000 หลัง และอีกกว่า 50,000 หลังชำรุด ..ภาพฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นจริง
.
แล้ว ‘ปาบึก’ ก็กลับมาทวงความทรงจำเก่า แต่ด้วยเทคโนโลยีการพยากรณ์ที่ทันสมัย ทำให้มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า เจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อมในการระวังป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ ใครมีแอปพลิเคชันพยากรณ์สภาพอากาศ สามารถตรวจสอบเส้นทางพายุเองได้ ไหวตัวได้ก่อน ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ..ยังไงก็รอด
อย่างไรก็ตาม ราคาค่าผ่านทางของแขกที่ไม่ได้รับเชิญชื่อ ‘ปาบึก’ กินมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท ผู้เสียชีวิตไม่มากเท่าพายุแฮเรียตในอดีต ..แต่ความเสียหายก็ยังคงเป็นความเสียหาย ..ไม่มีใครอยากให้เกิด
.
เขาขับรถกลับมาถึงบ้าน มองต้นไผ่ในกระถางที่ปลูกไว้
.
เขาคิดถึงสุภาษิตไทย “ไผ่ลู่ลม” ไผ่รอด ตะเคียนล้ม
.
บางทีชีวิตคนก็เหมือนต้นไม้ แข็งเกินไปก็ไม่อาจต้านทานพายุได้ “โลกนี้มีที่ยืนให้คนอ่อนน้อมถ่อมตนมากกว่า”
.
….
.
1 ปีผ่านไป ต้นเดือนมกราคม พ.ศ.2563 พายุ ‘โควิด’ ก็ได้เข้ามาเยี่ยมเยือนเรา พายุเชื้อโรคที่ระบาดด้วยความเร็วมากกว่า ‘ปาบึก’ หลายเท่านัก
ที่สำคัญ มันไม่ได้มาเยี่ยมเยือนเพียงแค่ 2-3 วันเหมือนพายุทั่วไป มันไม่มีตั๋วขากลับ และมันไม่ต้องการพาสปอร์ต..มันเดินทางไปอีกหลายประเทศทั่วโลก
พายุ ‘โควิด’ เล่นงานเศรษฐกิจโลกจนอ่วม มูลค่าไม่อาจประมาณได้ (ธนาคารแห่งหนึ่งประเมินไว้สำหรับประเทศไทยว่าอาจเสียหายราว 1.76 แสนล้านบาท) และยากจะเปรียบเทียบกับภัยธรรมชาติอื่นๆ
.
เขาขับรถผ่านตัวเมือง เห็นโรงแรม ร้านอาหาร สนามกีฬา และที่สาธารณะต่างๆทั้งกลางวันและกลางคืน ติดป้าย “ปิด”
.
ผ่านไป 3 เดือน จากป้าย “ปิด” เปลี่ยนเป็น “เลิกกิจการ” หรือ “ขาย”
.
เจ้าของโรงแรมหลายแห่งมือก่ายหน้าผาก โดยเฉพาะที่พักย่านแหล่งท่องเที่ยว
.
เพื่อนเขาเป็นโค้ชนักกีฬา ประกาศลงในเฟซบุ๊ค “รับจ้างงานอิสระ เพราะตอนนี้ไม่มีงานทำ”
.
เพื่อนเขาเป็นนักบิน นอนเล่นอยู่บ้านหลายเดือนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงรายรับ “ไม่มีบินคือไม่มีเงิน” เพื่อนบอกว่ารายได้หายไปมากกว่า 70% ต่อมามีหลายคนหันไปขับ Grab ส่งอาหาร บ้างขายประกัน หันเหหาทางรอดเพื่อปะทังชีวิต เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว
.
เจ้าของผับบาร์ นั่งคอตก กินบุญเก่ากับเงินเก็บที่มีอยู่
.
อีกหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ ทยอยปรับลดขนาดองค์กร ผลกระทบเต็มๆตกถึงลูกจ้าง ถ้าไม่ลดคน บริษัทก็อยู่ไม่ได้ ..ลูกจ้างกอดกันร้องไห้..
.
อีก 3 เดือนจากนั้น ภายหลังมาตรการผ่อนปรน หลายกิจการเริ่มกลับมาประกอบการได้ ..แต่แผลนั้นเรื้อรังหนัก จะฟื้นฟูใหม่คงต้องใช้เวลา..
.
บางบริษัทเริ่มปรับเปลี่ยนธุรกิจ ทำอะไรได้ทำไปก่อน เพื่อช่วยเหลืออุ้มชูพนักงานที่เคยร่วมทุกข์สุขกันมา
.
โรงแรมใหญ่นั้น เจ้าของลงมาทำขนมปังขายตอนเช้า ให้พนักงานโรงแรมมาช่วยกันขายขนมปัง
.
สายการบินใหญ่นั้นทำปาท่องโก๋ขาย พนักงานมาช่วยกันขายปาท่องโก๋
.
เพื่อนนักบินของเขา แม้ได้กลับไปบินแล้ว แต่รายได้ถูกหั่นลงหลายเท่า เพื่อนเขาเริ่มหัดทำซาลาเปาขายเป็นงานเสริม
.
เพื่อนโค้ชนักกีฬา ประกาศลดค่าเรียนครึ่งหนึ่ง อยากให้นักกีฬากลับมาซ้อมกันเหมือนเดิม
.
เจ้าของสนามกีฬาบางแห่ง ปรับลดราคาค่าเช่าสนามลง
.
เจ้าของผับบาร์ เปลี่ยนผับเป็นร้านกาแฟ
.
เขาขับรถไปซื้อกาแฟที่ผับนั้น เมื่อก่อนกลางคืนเป็นผับ เดี๋ยวนี้เป็นร้านกาแฟ
.
เขาคิดถึงสุภาษิตจีนโบราณ “เราไม่อาจเปลี่ยนทิศทางลม..แต่เราสามารถปรับใบเรือได้”
….
ผ่านไปอีกหนึ่งปี เมื่อ เม.ย.64
.
พายุโควิด กินเวลานานกว่าที่เขาคิด มันเกือบแล้วที่จะสงบ เขาคิดว่า อาหารของพายุชนิดนี้น่าจะเป็น “กิเลสมนุษย์” เพียงเพราะกลุ่มคนบางกลุ่มแค่นั้นเองที่ทำให้มันวกกลับมาอีกครั้ง
.
เขาโทษลม เขาโทษพายุ เขาโทษกลุ่มคนเหล่านั้น ครั้งก่อนเชื้อโรคนี้เข้ามาในแผ่นดินที่เขารักได้เพราะคนต่างชาติ หากแต่คราวนี้ มันมาเยี่ยมเยียนเราแบบแนบเนียน ผ่านกลุ่มเซเลบ นักการเมือง และผู้มีอันจะกินในประเทศ ทำให้เกิดวลี “ติดคนรวย ซวยคนจน !”
.
การกลับมาของพายุเชื้อโรคในครั้งนี้มันน่าสลดหดหู่กว่าเมื่อปีก่อนหลายเท่านัก
.
สำหรับเขา รวยจนก็ติดโรคได้เหมือนกัน พายุชนิดเดียวกัน ต่างตรงคนรวยมีเวลายื้อได้นานกว่า พายุนี้ไม่เลือกชนชั้นวรรณะใดๆ
.
ที่น่าสงสารกว่าคือคนจน เพราะคนจนกลัวอดตายมากกว่ากลัวเชื้อโรค !
.
ใบเรือถูกพายุซัดกระหน่ำ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาขับรถผ่านย่านเดิมที่เคยผ่าน จอดรถจะลงไปซื้อกาแฟที่ร้านนั้น ทว่า..
.
ร้านกาแฟนั้นปิด อาคารพาณิชย์หลายคูหาแปะป้าย “ขาย หรือ ให้เช่า” เขากลับขึ้นรถ แล้วขับรถกลับบ้าน ผ่านสนามกีฬาตามเส้นทางเก่าที่เคยชิน
สนามกีฬาในร่มนั้น กำลังจะกลายเป็นโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับผู้ป่วยที่กำลังจะล้น
.
สาธารณสุขของประเทศเริ่มสั่นคลอน นักรบชุดกาวน์ต้องกลับมารบกันใหม่อีกครั้ง เขากัดฟันกรอด เจ็บใจ และตำหนิกองกิเลสของคนส่วนน้อยกลุ่มนั้น มันไม่ควรเกิดขึ้น เหตุการณ์กำลังจะดีขึ้นอยู่แล้ว
.
ถนนเงียบ ตลาดร้าง คำว่า “เคราห์ซ้ำ กรรมซัด” มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
.
เขาตกงาน และกำลังเดินเตะฝุ่น แล้วฝุ่นก็กระเด็นขึ้นมาลูบหน้าเขาอีกทีหนึ่ง เขาเคยปรับตัว ทุกคนปรับตัวแล้ว แต่ไม่มีใครปรับตัวทันเชื้อโรคที่กลายพันธุ์ได้อย่างง่ายดาย มันกลายพันธุ์เพื่อเจาะจงเล่นงานมนุษย์ชาติโดยเฉพาะ มันร้ายกาจกว่าที่เขาคิด
.
ฝุ่นที่ลูบหน้าเขาปลิวหลุดไป ลอยไปในอากาศ เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาเห็นต้นไผ่ต้นเดิมสูงขึ้น แตกกอ ลำไผ่ใหม่ดูแข็งแรง
.
ปีนี้ไร้พายุเช่นเมื่อ 2 ปีก่อน มันเคยผ่านเรื่องร้ายแรงมาแล้ว และมันก็เติบโต ทุกชีวิตต้องเติบโต กร้านลมฝนพายุสักกี่ครั้ง สุดท้ายก็ต้องเติบโต เพราะเรื่องร้ายก็จะผ่านไป ไม่มีเรื่องร้ายใดที่ดำรงอยู่ตลอดกาล
.
ควันหลงเป็นเพียงเศษซากที่ต้องซ่อมแซม เป็นเรื่องธรรมดา หากต้นไผ่มีความรู้สึก มันคงจะบอกกับเขาว่า อย่าไปท้อ จงอดทนและรอ “รอการเติบโต” รอให้พายุพัดผ่านไป
.
ถึงตอนนี้ เขาคิดถูกแล้วที่เลือกปรับตัว แม้ใบเรือไม่อาจต้านทานลม หากแต่การปรับมันใหม่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป
.
เขาเข้าใจในชีวิตดีขึ้น เขาเลิกโทษลมฟ้าอากาศ เลิกโทษเซเลบ เลิกโทษนักการเมือง แล้วเริ่มปรับใบเรือใหม่อีกครั้ง
.
“แม้เราไม่อาจควบคุมพายุลูกนั้น แต่เราเลือกปรับวิถีแห่งตนได้..
.
.. ใบเรืออยู่ที่มือเรา”
.

.
อ่านบทความอื่นๆได้ใน Facebook Page : Hovering Inspirations 👇
https://www.facebook.com/profile.php?id=61558412223812&mibextid=ZbWKwL