คำนี้..สำหรับการบินหมายถึง ‘การบินเดินทาง’
.
เมื่อนึกถึงการบินเดินทาง มันทำให้นึกถึงการผจญภัย ในยุคบุกเบิกด้านการบิน นักบินมีทักษะที่น่าทึ่งมาก การบังคับเครื่องยุคเก่าที่มีอุปกรณ์น้อยชิ้น แล้วพาเครื่องไปให้ถูกต้องตามเส้นทางและมีความแม่นยำ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
.
หากแต่เมื่อทำได้แล้ว ระหว่างทางที่เอาตัวแหวกว่ายกลางอากาศเคลื่อนที่ผ่านท่ามกลางหมู่เมฆ นักบินจะรู้สึกเคลิบเคลิ้ม หลงใหล และมักถูกดึงดูดด้วยบางสิ่งบางอย่าง มันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างวิทยาศาสตร์ ความโรแมนติก และการผจญภัย
.
‘การบินเดินทาง’ มีคำนิยามว่า ‘เที่ยวบินระหว่างจุดที่ออกเดินทางและจุดที่มาถึง เป็นการบินตามเส้นทางที่วางแผนไว้ ใช้วิธีการนำทางที่เป็นมาตรฐาน’
ในบริบทของศิษย์การบิน เมื่อถึงบทเรียนการฝึกบินเดินทาง นั่นหมายความว่า เหล่า ‘นก’ ได้ผ่านการฝึกในทุกบทเรียนสำคัญมาครบครันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการบังคับเครื่องในท่าทางต่างๆ การใช้อุปกรณ์เดินอากาศ การใช้วิทยุ การติดต่อสื่อสาร รวมถึงท่าทางฉุกเฉินที่ต้องตัดสินใจในอากาศ
.
บทเรียนนี้ ศิษย์จะได้ประยุกต์เอาความรู้จากวิชาเรียนภาคทฤษฎีทุกวิชามาใช้ (อ่านบทความ ‘นักบินเรียนวิชาอะไรบ้าง’ ย้อนหลังอีกที) สำหรับ Cross Country นั้น มันเป็นเรื่องของ ‘ศิลปะการเดินอากาศ’
.
ยกตัวอย่างวิชา ‘Navigation’ และวิชา ‘Flight Planning and Monitoring’ นักบินจะต้องเรียนรู้เรื่องการอ่านแผนที่อากาศ การอ่านเข็มทิศ การคำนวณความเร็ว เวลา ระยะทาง การวางแผนคำนวณน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำหนักผู้โดยสาร การวางแผนเลือกที่หมายสำรอง กรณีหากที่หมายปลายทางไม่สามารถบินลงได้ และอื่นๆอีกมากมายหลายอย่าง
.
การบิน คือการเข้าถึงโอกาส การเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง จึงถือเป็นหมุดหมายสำคัญของศาสตร์ด้านการบิน ถามว่าฝึกบินไปทำไม คำตอบก็คือ เพื่อจะได้บินจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งได้ด้วยความปลอดภัย และนั่นคือสาระสำคัญของการโบยบินบนท้องฟ้าของเหล่า ‘นก’
.
การเคี่ยวลูกนกให้เรียนรู้เบสิกสำคัญทั้งหมดทุกบทเรียนถูกร่อนออกมาเป็นสามหัวใจสำคัญทางการบิน ซึ่งนักบินทุกเจเนอเรชั่นย่อมรู้ดี มันถูกปลูกฝังอยู่ในสายเลือด สามสิ่งนั้นได้แก่
.
1. Aviate – เอาเครื่องให้อยู่ หมายถึง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการควบคุมเครื่อง การบังคับอากาศยานด้วยความปลอดภัย
.
2. Navigate – นำทางให้ถูก หมายถึง นักบินต้องรู้ตำแหน่งตัวเอง รู้ว่ามาจากไหน รู้ว่าจะไปไหน รู้เส้นทาง ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือในการนำทางได้ ซึ่งการนำทางนี้จะต้องแม่นยำ
.
3. Communicate – สื่อสารได้ หมายความว่า ขณะบิน นักบินต้องติดต่อสื่อสารกับผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศ การสื่อสารที่ชัดเจน กระชับ และถูกต้อง จึงถือเป็นหัวใจ การบินจะมีประสิทธิภาพได้ก็ด้วยการสื่อสารเป็นสำคัญ
.
สำหรับบทเรียน Cross Country นี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ครูจะต้องสร้างภาพการรับรู้ในทุกวิธีที่นักบินจะใช้ในการเดินอากาศ การพาเครื่องจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ศาสตร์ด้านการบินได้ตกผลึกออกมาเป็น 3 วิธีหลักสำคัญได้แก่
.
1. Dead Reckoning – คือวิธีการคำนวณจากความสัมพันธ์ของ ความเร็ว เวลา และระยะทาง ซึ่งเมื่อบินอยู่ในอากาศจริงๆจะมีตัวแปรที่สำคัญคือ ‘ลม’ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย วิธีนี้นักบินจะบินไปตามทิศทางและความเร็วที่คำนวณไว้ แล้วจับเวลาระหว่างจุด โดยเมื่อบินจนครบเวลาที่วางแผนไว้แล้ว เครื่องก็จะบินถึงจุดที่วางแผนเอาไว้ แต่วิธีนี้จะมีความคลาดเคลื่อนค่อนข้างสูง ซึ่งนักบินต้องหมั่นสังเกต คำนวณ และคอยแก้ทิศทางตามลมที่เปลี่ยนแปลงในขณะบินอยู่ตลอดเวลา ถึงจะมีความแม่นยำ
.
ในยุคแรกเริ่มของการบินที่ยังไม่มีอุปกรณ์เครื่องช่วยในการนำทางที่ทันสมัย การบินระยะทางไกลๆเหนือมหาสมุทร จะใช้วิธีนี้เป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่นเที่ยวบินของ ชาลส์ ลินด์เบิร์ก (Charles Lindbergh) นักบินคนแรกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากนิวยอร์กไปปารีสปี ค.ศ.1927 ด้วยระยะทางกว่า 3,000 ไมล์ทะเล ใช้วลา 33.5 ชม. ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำเช่นนี้ได้ หมายความว่านักบินจะต้องคำนวณปัจจัยหลายๆอย่างขณะบังคับเครื่องด้วยความแม่นยำมากๆ และเที่ยวบินนั้นถือได้ว่าเป็นเที่ยวบินแห่งประวัติศาสตร์ และทำให้ ลินด์เบิร์ก มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
.
2. Pilotage – คือวิธีเบสิกที่ใช้มาเนิ่นนาน นักบินจะวางแผนเส้นทางบินบนแผนที่ และศึกษาว่าขณะบินผ่านจะพบจะเจออะไรบ้าง เช่น ภูเขา แม่น้ำ ถนน สิ่งปลูกสร้าง จุดสังเกตต่างๆเหล่านั้นเรียกว่า Visual Ground References หรือ landmarks เวลาบินจริงก็บินตามเส้นทางที่วางแผนไว้พร้อมดูภูมิประเทศที่บินผ่าน ซึ่งจะต้องพบเจอ landmarks ที่วางแผนไว้
.
3. Radio Navigation – คือการใช้สัญญาณวิทยุช่วยในการนำทาง บนเครื่องจะมีเครื่องช่วยนำทางที่ใช้สัญญาณวิทยุ โดยนักบินจะตั้งค่าความถี่ของสนามบินที่จะบินผ่านตามเส้นทาง หรือสนามบินที่กำลังจะเดินทางไป นักบินจะเรียนรู้วิธีอ่านค่าบนหน้าปัดเครื่องวัดที่แสดงค่า ซึ่งรับสัญญาณจากความถี่ที่นักบินตั้งไว้ เพื่อให้รู้ว่า ณ ตอนนั้นเครื่องอยู่ที่ไหน วิธีนี้รวมถึงการนำทางด้วยระบบ GPS ด้วย ซึ่งปัจจุบัน GPS ก็มีความแม่นยำที่สูงมากและมีความคลาดเคลื่อนที่น้อยลงหากเปรียบเทียบกับในอดีต
.
เวลาบินจริง เราจะใช้ทั้งสามวิธีนี้ผสมผสานกัน ยกเว้นในบางกรณีที่บินเหนือพื้นที่ที่ไม่มีอะไรให้สังเกตทางภูมิประเทศได้เลย เช่น การบินข้ามมหาสมุทร ในเคสนี้การนำทางด้วยวิธี Pilotage จึงไม่สามารถทำได้
.
ทั้งสามวิธีนี้ นักบินจะต้องแตกฉาน ใช้ให้คล่อง โดยเฉพาะเครื่องบินยุคใหม่ มีอุปกรณ์เครื่องวัด อุปกรณ์นำทางที่ทันสมัย การเรียนรู้ทำความเข้าใจวิธีการใช้งานจึงสำคัญ โดยเฉพาะการแก้ไขสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นขณะใช้งาน
.
เมื่อเอาหลัก Aviage/Navigate/Communicate มาใช้ ประกอบร่างกับ 3 วิธีการสำหรับการบินเดินทางนั้น การบิน Cross Country จึงสมบูรณ์
.
อันที่จริง ยังมีอีกหลายองค์ประกอบสำหรับการบินในหนึ่งเที่ยวบิน เพราะมันจะเริ่มตั้งแต่การเตรียมตัวและการวางแผนเสมอ
.
การวางแผนที่ดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง บวกกับทักษะและองค์ความรู้ที่ถูกฝึกและทุกเที่ยวบินที่สั่งสมมา สิ่งเหล่านี้จะหลอมปีกให้แข็งแกร่ง และพร้อมจะโบยบินไปในทุกเส้นทางที่ตั้งใจไว้
.
และเมื่อผ่านบทเรียน Cross Country (การบินเดินทาง) กันได้แล้ว ศิษย์ทุกคนจะเข้าใจกับประโยคที่ว่า
.
“Pilots are drawn to flying because it’s a perfect combination of science, romance, and adventure.”
.
“นักบินมักถูกดึงดูดให้หลงใหลในการบิน เพราะมันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างวิทยาศาสตร์ ความโรแมนติก และการผจญภัย”
.

.
อ่านบทความอื่นๆได้ใน Facebook Page : Hovering Inspirations 👇
https://www.facebook.com/profile.php?id=61558412223812&mibextid=ZbWKwL