Skip to content

คิดจะเรียนบิน..ต้องผ่าน 4 ด่านนี้ให้ได้ก่อน

  • by
นอกเหนือจากการตรวจร่างกายสำหรับผู้ที่อยากจะเรียนบินได้แล้วนั้น ผมยังจำความได้ลางๆกับ ‘เสียงดังเตาะแตะ’ ที่เกิดจากปากกาสองด้าม ด้ามหนึ่งถือด้วยมือซ้าย อีกด้ามอยู่ที่มือขวา พลางเคลื่อนมือซ้ายและขวาไล่ตามจุด (วงกลมเล็กๆ) บนกระดาษไปตามจังหวะเสียงเคาะโต๊ะของผู้ทดสอบ
.
วงกลมเล็กๆหลายจุดบนกระดาษนั้น เรียงต่อกันเป็นเส้นเลี้ยวไปคดมาจากล่างขึ้นบน แบ่งเป็นสองเส้นด้านซ้ายและขวา หน้าที่ของเราคือนำปลายปากกาจรดลงวงกลมเล็กๆเหล่านั้น เดินตามจุดวงกลมนั้นจากล่างขึ้นบนไปตามจังหวะเสียงเคาะโต๊ะ มือซ้ายและขวาต้องสลับกันยกแล้ววางไปตามเสียงเคาะนั้น เมื่อเดินตามจุดไปถึงจุดสุดท้ายด้านบน แล้วจึงเดินย้อนจากบนลงล่าง ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
.
ถ้าทำแค่นั้นมันก็ไม่ยาก แต่ที่โหดกว่าคือ ผู้ทดสอบจะถามคำถามไปเรื่อยๆระหว่างเดินจุด เริ่มจากให้แนะนำชื่อตัวเอง ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ต่อมาบอกให้สะกดชื่อถอยหลังทั้งไทยและอังกฤษ สักพักชวนบวกเลข ลบเลข คูณหาร คูณเลขสองหลักในใจ เสียงกดดันจากผู้ทดสอบเค้นเอาคำตอบ สารพัดคำถามที่ถ้าไม่ต้องมาเดินจุดเตาะแตะด้วยแล้ว มันก็ไม่น่ายาก แต่เมื่อมีภารกิจซ้อนกันแบบนี้ จะใจลอยก็ไม่ได้ จะหยุดเดินก็ไม่ได้ จังหวะในการเดินก็อย่าให้เสีย ตอบคำถามก็ต้องตอบ .. เล่นเอาหืดขึ้นคอ
.
นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของบททดสอบที่เรียกว่า ‘Coordination and Mutitasking’ เป็นการทดสอบการทำงานสอดประสานทั้งสายตาและความสามารถในการบริหารจัดการภาระงานหลายๆอย่างไปแทบจะพร้อมๆกัน เสี้ยวหนึ่งของบททดสอบที่เริ่มจำเค้าลาง ทำให้อยากจะสรุปซึ่งปราการด่านสำคัญที่สุดในการคัดกรองคนที่อยากจะเป็นนักบินได้ดังนี้
.
1.การทดสอบทางร่างกาย (The Physical Ability Test)
จะเรียนบินได้ ต้องรู้ก่อนว่าวิชาชีพนี้จำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ผ่านการตรวจร่างกายจากสถาบันหรือโรงพยาบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยก่อน
.
ใบรับรองแพทย์ยังแบ่งออกเป็น 4 ระดับ (เรียกว่าใบสำคัญแพทย์ชั้นต่างๆ) ขึ้นกับว่าผู้เรียนอยากเรียนบินเพื่อไปทำอะไร ถ้ารักจะเป็นนักบินอาชีพ บินรับส่งผู้โดยสารแบบจริงจัง อยู่สายงานแอร์ไลน์ ก็จำเป็นต้องตรวจร่างกายให้ผ่านเพื่อให้ได้รับใบสำคัญแพทย์ชั้น 1 ส่วนใบสำคัญแพทย์ชั้น 2, 3 และ 4 ก็จะมีรายละเอียดของสิทธิในการถือใบแพทย์นั้นว่าสามารถทำอะไรได้แค่ไหนบ้าง
.
อันที่จริงแล้วสภาพร่างกายของคนที่จะเป็นนักบินได้ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ขอแค่ระบบการทำงานของร่างกายโดยรวมปกติได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ครบองค์รวมของ ‘อายตนะภายในทั้ง 6’ หรือจะเรียกว่า ‘ผัสสะทั้ง 6’ ก็ได้ สำหรับ 5 ผัสสะแรก มันคือการตรวจร่างกายทุกระบบนั้นเอง
.
มีอะไรบ้าง เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ สายตา (ใบแพทย์ชั้น 1 ค่าความสั้น/ยาว ต้องได้ค่าปกติคือ 20/20 ซึ่งหากสายตาสั้นหรือยาวเกินก็สามารถสวมแว่นแล้วมาตรวจได้ บางสายการบินตั้งเกณฑ์ให้สำหรับคนที่สายตาสั้น/ยาวไว้ที่ค่าไม่เกิน 300 โดยให้สวมแว่นแล้วค่อยทำการตรวจ) ตรวจการได้ยิน ตรวจฟัน X-ray ปอด ตรวจระบบหัวใจและหลอดเลือด ตรวจร่างกายภายนอก แขน ขา โครงกระดูก กล้ามเนื้อ และสรีระทั่วไป
.
(สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้จากประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเรื่อง มาตรฐานในการออกใบสำคัญแพทย์แต่ละชั้น รวมๆแล้วเกือบ 100 หน้า)
.
ส่วนผัสสะที่ 6 (ใจ) ในที่นี้คือการตรวจสุขภาพจิตนักบิน ซึ่งจัดอยู่ในปราการด่านถัดไป
.
2. การทดสอบจิตวิทยานักบิน (The Psychological Test)
หลายคนต้องหัวหมุน เมื่อพบกับข้อสอบจิตวิทยาการบินที่มีหลายข้อ และต้องทำภายใต้เวลาที่จำกัด การทดสอบนี้ต้องการวัดในเรื่องของอารมณ์และจิตใจที่ต้องเป็นปกติ (Emotional and Mental Fitness), บุคลิกภาพจะต้องผ่านเกณฑ์ (Personality Assessments) และผ่านการทดสอบด้านสติปัญญาและการตัดสินใจ (Cognitive and Judgment Tests)
.
ด้วยวิชาชีพที่ต้องการความมั่นคงทางจิตใจ การทำงานภายใต้สถานการณ์ที่กดดันสูง รวมถึงมีบุคลิกภาพที่มีทักษะในการแก้ปัญหา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคัดคนที่ผ่านเกณฑ์เท่านั้น เพื่อให้สามารถมาเรียนบินได้
.
3. การทดสอบความถนัดนักบิน (Aptitude for Aviation)
การทดสอบนี้ต้องการวัดทักษะเฉพาะทางที่มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้นสำหรับคนที่อยากเป็นนักบิน (Skill-Specific Testing) การทดสอบการประสานงานของร่างกายในยามที่มีหลายสถานการณ์เกิดขึ้นพร้อมๆกัน (Coordination and Multitasking) และการรับรู้พื้นที่หรือมิติสัมพันธ์ภายในเวลาที่จำกัด (Spatial Awareness and Reaction Time)
.
ยกตัวอย่างการเดินจุดที่เกริ่นนำไปช่วงต้นถือเป็นการทดสอบด้าน Coordination and Multitasking แนวข้อสอบด้านความถนัดนักบินนั้นสามารถหาตัวอย่างจากในอินเทอร์เน็ต มีให้ลองทำเยอะ
.
สมัยนั้น (18 ปีก่อน) ตอนสอบคัดนักบินของกองทัพ จะมี 2 แนวความคิดที่บอกว่า “ถ้าอยากเป็นนักบินให้ลองฝึกหัดทำข้อสอบพวกนี้ดู” กับอีกแนวคิดหนึ่งที่บอกว่า “ไม่ต้องไปฝึกทำหรอก เพราะงานแบบนี้มันคัดกันที่เซนส์คน ใครมันจะใช่ มันก็สอบได้เอง อย่าไปฝืน” อันนี้ก็แล้วแต่ดุลพินิจของใครของมัน
ส่วนตัวผม ผมไม่เคยฝึกทำมาก่อน มีผ่านตามาบ้าง แต่ก็มีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆนักบินหลายคนที่ฝึกทำข้อสอบความถนัดเหล่านั้นอย่างเอาจริงเอาจังกันมาก่อน ทุกวันนี้เราก็ยังใช้ท้องฟ้าทำมาหากินร่วมกันอยู่ แสดงว่าจะฝึกทำก่อนสอบหรือไม่ฝึกทำก็ได้ แต่ควรดูผ่านตาบ้างก็น่าจะดี จะได้รู้ก่อนว่าจะต้องไปเจอข้อสอบแบบไหนบ้าง
.
4. การทดสอบภาษาอังกฤษ (ICAO Language Proficiency Requirements)
ภาษาอังกฤษคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกหนีได้สำหรับวิชาชีพนี้ ภาษาที่เหล่า ‘นก’ ใช้สื่อสารกันบนฟ้ากับผู้ที่ควบคุมพวกเราอยู่บนพื้น (เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ) โดยสากลแล้วเราจะใช้ภาษาอังกฤษ แต่เราไม่พูดเยอะ เราพูดแบบมี Pattern เราใช้หลักการสื่อสารแบบ Clear (ชัดเจน) Concise (กระชับ) และ Correct (ถูกต้อง)
.
เมื่อองค์การการบินระหว่างประเทศ (ICAO) ได้กำหนดความสามารถด้านภาษาอังกฤษของผู้ที่ต้องทำงานด้านการบินเอาไว้ 6 ระดับได้แก่ Level 6 (Expert) Level 5 (Extended) Level 4 (Operational) Level 3 (Pre-Operational) Level 2 Elementary) และ Level 1 (Pre-Elementary) และผู้ที่จะเป็นนักบินได้จะต้องมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษขั้นต่ำอยู่ที่ Level 4 (Operational)
.
ดังนั้นจะดีมากถ้าผู้ที่สนใจได้ศึกษาหาข้อมูลเพื่อเตรียมตัวสอบภาษาอังกฤษตามมาตรฐานที่ ICAO ได้กำหนดไว้ อย่างไรก็ตามโดยมากสายการบินที่ประกาศรับสมัครนักเรียนทุน มักจะกำหนดเกณฑ์คะแนนของทักษะภาษาอังกฤษอื่นๆเอาไว้ด้วย เช่น คะแนน TOEIC ขั้นต่ำ 650 คะแนน เพราะอย่างน้อยก็การันตีว่า คนๆนั้นมีภาษาที่ใช้ได้ดีทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน โดยเฉพาะหนังสือ คู่มือ และบทเรียนของนักบินก็ใช้ภาษาอังกฤษล้วนๆ เรื่องภาษาอังกฤษนี้..ยังไงก็หนีไม่พ้นแน่นอน
.
ใจรักอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับคนที่อยากจะเป็นนักบิน สำหรับวิชาชีพนี้มีบางอย่างที่ต้องใช้ความถนัดเฉพาะทางพร้อมร่างกายที่สมบูรณ์ ดังนั้นกว่าจะโบยบินบนท้องฟ้าได้จำเป็นที่จะต้องฝ่าด่านทั้ง 4 นี้ให้ได้ก่อน
.
และเมื่อผ่านแล้ว บันไดเริ่มต้นของบททดสอบบนทางสายนี้ดูทอดยาวนัก หลายคนเดินไปไม่ถึงขั้นสุดท้าย หลายคนพักกลางคัน เพราะเริ่มท้อ แต่อย่างที่บอกว่า ถ้าเริ่มต้นด้วยใจรัก และอุตส่าห์ฝ่าด่านทั้ง 4 นี้เข้ามาเรียนได้ เมื่อไรอยู่กลางบันไดแห่งความสำเร็จและเริ่มท้อ ก็อย่าลืม ‘เสียงดังเตาะแตะ’ เมื่อครั้งสมัยที่สอบผ่านเข้ามาได้
.
อย่าลืมหยาดเหงื่อที่ทุ่มเทมาแต่แรกเริ่ม ดังคำกล่าวที่ว่า
“When you think about giving up, think about how far you’ve come”
<เมื่อไรที่คิดจะยอมแพ้ คิดด้วยว่าเรามาไกลแค่ไหนแล้ว>
.
.

อ่านบทความอื่นๆได้ใน Facebook Page : Hovering Inspirations 👇

https://www.facebook.com/profile.php?id=61558412223812&mibextid=ZbWKwL