<เสรีภาพแห่งฝั่งอเมริกา ปะทะ ความเป๊ะจัดระดับยูโร>
.
เมื่อการฝึกนักบินไม่ใช่แค่เรื่องของชั่วโมงบิน .. แต่เป็นกระจกสะท้อนแนวคิดของประเทศนั้นๆ
.
ในโลกของการบิน เรารู้จักกันอยู่สองค่ายใหญ่ ที่กุมทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมการบินระดับโลกอยู่เบื้องหลัง
.
ค่ายแรกคือ FAA (Federal Aviation Administration – สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐฯ)
.
ค่ายสองคือ EASA (European Union Aviation Safety Agency – องค์การความปลอดภัยการบินแห่งสหภาพยุโรป)
.
ทั้งสององค์กรต่างทำหน้าที่เสมือน ‘โรงตีดาบ’ ผลิตนักบินที่มีคุณสมบัติพร้อมรบ ทว่าแนวทางและวิธีการของพวกเขาแตกต่างกันลิบลับ ราวกับไฟและน้ำที่อยู่กันคนละขั้ว หากแต่มีเจตนาที่ดีเหมือนกัน
.
เพราะโลกของการบิน เราเน้นนักเน้นหนาในเรื่องของความปลอดภัย พวกเขาดีไซน์กฎกติกาออกมาตามหลักเหตุและผลของพวกเขา ตามเหตุปัจจัยของประเทศของเขา ตามสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่พวกเขามี .. ซึ่งไม่เหมือนกัน
.
ต่อไปนี้คือการชำแหละแบบหมัดต่อหมัด แบบข้อต่อข้อ ตามสิ่งที่ผู้เขียนได้อ่านและค้นคว้ามา
.

.

.
แม้จะต่างทวีป ต่างระบบ แต่ทั้ง FAA และ EASA ต่างก็เปิดสอนการฝึกนักบินด้วย 2 รูปแบบหลักได้แก่
.
แบบ Modular (แบบแยกเป็นบล็อกๆ) เรียนเป็นตอนๆ ไปทีละใบอนุญาต เช่น จาก PPL (ใบอนุญาตนักบินส่วนบุคคล) ไป CPL (ใบอนุญาตนักบินพาณิชย์), จากนั้นค่อยไป CFI (ครูการบิน) หรือ ATPL (ใบอนุญาตนักบินพณิชย์เอก)
.
แบบ Integrated (แบบรวมหลักสูตร) เรียนต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนจบในหลักสูตรเดียว ใช้เวลาเร็วกว่าหากเรียนเต็มเวลา
“Modular ก็เหมือนลุยด่าน เก็บทีละ Level เก็บประสบการณ์เองไปเรื่อย ๆ ส่วน Integrated เหมือนโดดขึ้นรถด่วน ไม่หยุดจนถึงบอสใหญ่ — ถ้าตกรถก็อาจต้องเริ่มใหม่หมด”
.
ค่าย FAA กำหนดว่า (ยกตัวอย่างหลักสูตรเฮลิคอปเตอร์)
.
CPL-H (Commercial Pilot License – Helicopter – ใบอนุญาตนักบินพาณิชย์เฮลิคอปเตอร์) เรียนจบได้ใน 115 ชั่วโมง (หากเรียนผ่าน Part 141)
ถ้าใช้ระบบแบบ Modular ก็ได้ ก็เรียนเป็นบล็อกๆไป เริ่มจาก PPL (Private), CPL (Commercial), CFI (Instructor), ATP (Airline)
.
* ไม่ต้องสอบทฤษฎี ATPL (Airline Transport Pilot License – ใบอนุญาตนักบินขนส่งสายการบิน) ก่อนบินงานพาณิชย์
* จบ CFI สามารถเริ่มสอนนักบินได้เลย — แม้จะยังบินไม่ถึง 250 ชั่วโมงเต็ม
.
ส่วนพี่ EASA บอกว่า
.
CPL-H ต้องฝึกบินขั้นต่ำ 135 ชั่วโมง (กรณีเรียนแบบ Integrated – หลักสูตรรวม)
และต้องสอบ ATPL (Frozen) ภาคทฤษฎีจำนวน 13 วิชาให้ผ่านก่อนเริ่มงานบินเชิงพาณิชย์
.
* หากจะเรียนหลักสูตรครูการบินเพื่อไปสอนบิน ต้องมี **250 ชั่วโมงบินรวม + 100 ชั่วโมงในฐานะนักบินผู้บังคับอากาศยาน (PIC – Pilot in Command)** => เรียนจบก่อนจึงจะสอนได้
.

.
—
.

.

.
**FAA**
* มีหน่วยงานเดียวควบคุมทั้งประเทศ
* ใช้ระบบ Designee (ผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เช่น DPE – Designated Pilot Examiner – ผู้ตรวจสอบการบินเอกชนที่ได้รับการแต่งตั้งจาก FAA)
* DPE มีอิสระในกระบวนการสอบ แต่ต้องรายงานผลกลับไปยัง FAA
* เปิดโอกาสให้โรงเรียนการบินมีความหลากหลายและยืดหยุ่น
.
**EASA**
* ทำงานร่วมกับ National Aviation Authorities (NAAs – หน่วยงานการบินพลเรือนประจำประเทศ)
* ใช้ผู้ตรวจสอบที่เรียกว่า Flight Examiner (FE – ผู้ตรวจสอบการบิน) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจาก NAA ของแต่ละประเทศ
* FE ทำหน้าที่คล้าย DPE แต่อยู่ภายใต้ระบบราชการมากกว่า และต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน Part-FCL (Flight Crew Licensing)
* ระบบรวมศูนย์ ต้องมีการอนุมัติหลายระดับและใช้มาตรฐานเดียวกันทั่วยุโรป
.

.
—
.

.

.
**FAA**
* สนับสนุน General Aviation (GA – การบินทั่วไป) อย่างชัดเจน
* สหรัฐฯ มีเครื่องบิน GA มากที่สุดในโลก
* นักบินสมัครเล่นสามารถเข้าถึงการบินได้ง่ายและต้นทุนต่ำ
.
**EASA**
* มีข้อจำกัดด้าน GA มากกว่า เช่น ต้นทุนการซ่อมบำรุงสูง การได้มาซึ่งใบอนุญาตยุ่งยาก
* สนามบินเล็กหลายแห่งถูกลดบทบาทหรือปิดตัวลง

.
—
.

.

.
**FAA**
* สามารถเริ่มเป็นครูบินได้ทันทีหลังจากเรียนจบหลักสูตร FI (Flight Instructor – ครูการบิน) และสอบผ่านได้รับใบอนุญาต CFI (Certified Flight Instructor – ครูการบิน)
* ระบบ FAA มี 2 แนวทางหลักในการฝึกได้แก่ Part 61 (เน้นความยืดหยุ่น) และ Part 141 (เน้นความเป็นทางการของโครงสร้างและระบบการฝึกสอน)
* หากจบจาก Part 141 ผู้เรียนสามารถสอบ CFI และเริ่มสอนได้เลย แม้ชั่วโมงบินยังไม่ถึง 250 ชั่วโมง
* ระบบนี้เปิดโอกาสให้นักบินสะสมชั่วโมงไปพร้อมกับการสอน ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้มาก
* แม้จะยังมีชั่วโมงบินรวมไม่ถึง 250 ชั่วโมง ก็สามารถสอนได้ หากผ่านเกณฑ์ตามหลักสูตร Part 141 หรือ 61
* ใช้อาชีพ CFI (Certified Flight Instructor – ครูการบิน) เพื่อสะสมชั่วโมงไปสู่ ATP
* ระบบเปิดกว้าง เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณจำกัดและอยากเติบโตจากแรงตัวเอง
.
**EASA**
* ต้องสอบ ATPL(Frozen) ภาคทฤษฎีสุดโหด และผ่านการฝึกที่มีโครงสร้างเข้มข้น
* กว่าจะเป็นครูการบิน ต้องสะสมชั่วโมงก่อนถึงจะเริ่มสอนได้จริง
* ผู้มีทุนต่ำอาจหมดแรงก่อนถึงปลายทาง
.

.
.
—
.

.

.
**FAA**
* เน้น Just Culture (วัฒนธรรมที่เข้าใจความผิดพลาด) และความรับผิดชอบรายบุคคล
* มีระบบ ASRS (Aviation Safety Reporting System – ระบบรายงานความปลอดภัยแบบไม่ลงโทษ)
.
**EASA**
* เน้นระบบองค์กรและการจัดการความปลอดภัยเชิงป้องกัน (SMS – Safety Management System)
* ใช้แนวคิด Risk-Based Oversight (การตรวจสอบตามระดับความเสี่ยง)
.

.
—
.

.

.
**FAA**
* ปรับตัวเร็ว เปิดกว้างต่อเทคโนโลยีใหม่
* มีมาตรการส่งเสริมผู้เล่นรายเล็ก เช่น LSA (Light Sport Aircraft – เครื่องบินน้ำหนักเบา), BasicMed (ทางเลือกตรวจสุขภาพนักบิน)
.
**EASA**
* กฎระเบียบเปลี่ยนแปลงได้ยาก และต้องผ่านหลายขั้นตอน
* อนุญาตเฉพาะเทคโนโลยีหรือหลักสูตรที่ได้รับการพิสูจน์และรับรองแล้วเท่านั้น

.
—
.

.

.
**FAA**
* การสอบภาคทฤษฎีเรียกว่า Written Knowledge Test (การสอบข้อเขียน) ซึ่งเป็นระบบ **สอบแยกตามแต่ละประเภทของใบอนุญาต** เช่น
* PPL (Private Pilot License – ใบอนุญาตนักบินส่วนบุคคล)
* CPL (Commercial Pilot License – ใบอนุญาตนักบินพาณิชย์)
* CFI (Certified Flight Instructor – ครูการบิน)
* ATP (Airline Transport Pilot – นักบินขนส่งสายการบิน)
* สอบทีละใบ ทีละด่าน ไม่มีการสอบรวม 13 วิชาแบบค่าย EASA
* เมื่อสอบทฤษฎีผ่านแล้ว จึงสามารถเข้าสอบ Checkride (การทดสอบภาคปฏิบัติ) กับ DPE ได้
* สอบ Checkride โดย DPE
* ฝึกตัดสินใจจากสถานการณ์จริง และเน้นความเป็น PIC (Pilot-in-Command)
.
**EASA**
* เรียนทฤษฎีเข้มข้นตั้งแต่ต้น (13 วิชา ATPL)
* สอบทั้ง 13 วิชาให้ผ่านครบก่อน จึงจะไปเช็กภาคอากาศได้ ถ้าภายในเวลาที่กำหนดยังสอบผ่านไม่ครบทุกวิชา มีโอกาสต้องเริ่มต้นสอบใหม่หมด
* เน้นความรู้เชิงระบบในทุกวิชาแบบลึกซึ้ง ปลูกฝังทักษะ Soft Skill และเน้นการปฏิบัติตาม SOP (Standard Operating Procedures – ขั้นตอนการบินมาตรฐาน)
.

.
—
.

คำถามคือ
.

.
บางครั้งการจะก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่เรื่องของการเลือกข้าง แต่คือการเข้าใจบริบทของตัวเอง
.
หน่วยงานกำกับดูแลในบ้านเราไม่ได้ด้อยไปกว่า FAA หรือ EASA เลย .. เอาเป็นว่า level เราเท่ากันกับเขา
.
เรามีศักยภาพครบถ้วน ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เราสามารถ ‘คิดเองได้’ และใช้กรอบของ **ICAO (International Civil Aviation Organization – องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ)** เป็นแนวทาง
.
เราไม่จำเป็นต้องก๊อปสูตรใคร เพราะเรามีรสชาติเป็นของตัวเอง
.
เราสามารถออกแบบระบบการบินที่เหมาะกับบริบทไทย แต่ยืนได้บนเวทีโลก
.
“เราไม่จำเป็นต้องใส่สูทแบบยุโรป หรือใส่แจ็คเก็ตหนังแบบอเมริกัน เราคาดผ้าขาวม้าขึ้นบินก็ยังเท่ได้ ถ้าเรามีฝีมือ”
.
—
.

.
เลือกกินแฮมเบอร์เกอร์แบบอเมริกัน หรือจะเลือกกินสปาเก็ตตี้แบบอิตาเลียน,
> หรือ .. จะเลือกกินต้มยำกุ้ง กับ น้ำพริกปลาทู แบบบ้านเรา ทั้งแซ่บ จัดจ้านและไม่เหมือนใคร?
.
สิ่งสำคัญที่ต้องนำมาคิดมีหลายอย่าง ไม่ใช่แค่วัตถุดิบ แต่ยังมี มือปรุง พ่อครัว การสร้างพ่อครัวรุ่นต่อๆไป สภาพร้านค้า สภาพคล่องทางการเงิน ฯลฯ
.
ใครจะกล้าสร้างระบบการบินที่ “กลมกล่อมแบบไทยๆ” แต่เสิร์ฟได้ในระดับนานาชาติ
.
โจทย์นี้อยู่ที่กึ๋นและมันสมองของ …. ล้วนๆเลย
.

.
อ่านบทความอื่นๆได้ใน Facebook Page : Hovering Inspirations 👇
https://www.facebook.com/profile.php?id=61558412223812&mibextid=ZbWKwL