Skip to content

เลิกคิดลบด้วยสูตร M.A.G.I.C

ว่ากันว่า มนุษย์คือนักคิดชั้นยอด
.
ในแต่ละวัน เรามีเรื่องให้คิดมากถึง 12,000 – 60,000 เรื่อง
.
เฉลี่ยแล้วคิดประมาณ 8 – 40 ครั้งต่อนาที และส่วนใหญ่มักคิดวนไปวนมา คิดซ้ำๆประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ หนำซ้ำเรื่องที่คิดส่วนใหญ่เป็นความคิดลบราว 75 เปอร์เซ็นต์
.
คนส่วนใหญ่จึงรู้สึกหนักอึ้งเมื่อหมดวัน แม้ว่าวันนั้น ไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นสักนิด
.
ความคิดกับอารมณ์เป็นของคู่กัน เป็นเหรียญสองด้าน บางครั้งคิดก่อนแล้วจึงรู้สึก เช่นมีเหตุการณ์บางอย่างมากะเทาะใจ อารมณ์ก็ฟุ้ง พาลให้เกิดความคิดที่ฟุ้งซ่านตามมา
.
ใจคนเราเหมือนสายน้ำ ความคิดเหมือนลมพัด ยากที่จะคาดเดาว่ามันจะไหลหรือเปลี่ยนทิศเมื่อไหร่
.
ตามหลักจิตวิทยา คนเรามีแนวโน้มที่จะคิดลบอยู่เสมอ เพราะมนุษย์มีกลไกการเอาตัวรอดดั้งเดิม (Survival Instinct) ฝังอยู่กับตัวเรามาเนิ่นนาน
.
สมองส่วนลิมบิก (Limbic System) คอยช่วยเตือนภัย ช่วยให้เรารอดพ้นจากอันตราย พวกเรามักจะไวกับข่าวลบๆ เรื่องดราม่า เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องคนโน้นคนนี้ เรื่องของความเสี่ยงต่างๆนานา โดยรวมคือคิดลบมากกว่าที่จะคิดแต่เรื่องดีๆ
.
แม้ในยุคนี้ที่เสือสิงกระทิงแรดไม่ได้เดินอยู่บนถนนคอนกรีต สมองเราก็ยังทำงานราวกับเดินเพ่นพ่านอยู่ท่ามกลางป่าใหญ่
.
หากว่าเราปล่อยให้ความคิดลบทำงานเยอะไป กระทั่งครอบงำเรา
.
ร่างกายจะหลั่ง คอร์ติซอล (Cortisol) หรือ “ฮอร์โมนแห่งความเครียด” จนสูงปรี๊ดขึ้นมา
.
มีผลเสียระยะยาวเกิดขึ้นมากมาย อาทิเช่น ภูมิคุ้มกันลดลง นอนไม่หลับ ความจำสั้น หรือเพิ่มความเสี่ยงเรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือด
.
“ความเครียดอาจไม่ได้ฆ่าเราทันที แต่มันจะค่อยๆ ขโมยสุขภาพและความสุขของเราไปทีละนิด”
.
ปรัชญาพุทธช่วยเยียวยาเรื่องนี้ได้ดีมาก และมันเข้ากันกับทฤษฎีการกำหนดตนเองกับศาสตร์จิตวิทยาเชิงบวกอย่างเหลือเชื่อ
.
มุมมองของพุทธบอกว่า ความคิดลบถือเป็น “อกุศลวิตก” หรือความคิดไม่ดี
.
จำแนกได้ 3 อย่างคือ พยาบาทวิตก (คิดพยาบาท) กามวิตก (คิดมุ่งไปแต่ทางกาม) และวิหิงสาวิตก (คิดเบียดเบียนผู้อื่น)
.
“อกุศลวิตกก็เปรียบเหมือนถ่านไฟร้อนที่เรากำไว้แน่น ไม่ว่าเราจะปล่อยหรือไม่ มือเราก็ถูกไฟเผาอยู่ดี”
.
คู่ปรับของความคิดลบในทางพุทธจึงใช้ “สติ” และ “เมตตา” มากำกับ
.
สติ ช่วยให้รู้ทันความคิดลบ ไม่เผลอไผลไหลตาม
.
เมตตา ช่วยให้ใจนุ่มนวล ให้อภัยตัวเรา ให้อภัยผู้อื่น
.
“สติคือแสงไฟ เมตตาคือสายลมเย็น ใจที่ร้อนแรงจึงสงบได้ด้วยสองสิ่งนี้”
.
บาร์บารา เฟรดริกสัน (Barbara Fredrickson) นักจิตวิทยาชาวอเมริกันผู้บุกเบิกศาสตร์อารมณ์บวก เจ้าของแนวคิดที่ว่า อารมณ์ดีๆ เล็กๆน้อยในแต่ละวันสามารถสะสมและสร้างชีวิตที่ยิ่งใหญ่ได้ เป็นผู้บุกเบิกศาสตร์ด้านจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) เจ้าของผลงานวิจัย 3-to-1 Positivity Ratio อีกหนึ่งโมเดลที่ช่วยเยียวยาความเครียดที่เกิดจากการคิดลบได้
.
เมื่อเอาศาสตร์สมัยใหม่กับวิถีพุทธมาศึกษา ก็พบว่า มันน่ามหัศจรรย์มาก เพราะจริงๆแล้ว เราสามารถควบคุมความคิดลบได้
.
เมื่อลองมาใส่สูตรสำเร็จ ก็จะได้เทคนิคทีชื่อว่า M.A.G.I.C เกิดจากการผสมผสานระหว่างแนวคิดจิตวิทยาเชิงบวกกับการฝึกสติแบบชาวพุทธ
.
แต่ละตัวอักษรของ M.A.G.I.C คือยาขนานเอกที่สามารถใช้ควบคุมความคิดลบ และสร้างพลังบวกขึ้นมาได้ คำนี้ประกอบไปด้วย
.
M – Mindfulness Meditation
.
ไม่จำเป็นต้องเป็นชาวพุทธ ไม่เกี่ยงศาสนา ใครๆก็ทำได้ มันคือการทำสมาธิ กำหนดสติ ฝึกภาวนา อาจฝึกอยู่กับลมหายใจ วันละ 5 นาที 10 นาที เริ่มน้อยๆก่อน เมื่อสติแข็งแรง จะดักทันความคิดลบที่เข้ามา แล้วเราก็ปล่อยมันไปอย่างเบามือ
“เฝ้าดูความคิดเหมือนมองเมฆบนท้องฟ้า…มาแล้วก็ลอยไป ไม่ต้องเก็บมันไว้กับตัว”
.
A – Attitude Adjustment
.
ฝึกปรับทัศนคติตัวเอง ใช้เทคนิค 3 ต่อ 1 เวลามีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นหนึ่งเรื่อง ให้มองหาสามเรื่องดีๆ ที่ยังคงมีอยู่ในชีวิตเรา นี่คือโมเดลของ บาร์บารา เฟรดริกสัน ที่เราเรียกมันว่ากฎ 3-to-1 Positivity Ratio
โลกไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก มีแต่สายตาเราเองที่มองมันเปลี่ยนไป
.
G – Gratitude Practice
.
ฝึกขอบคุณ วันละ 3 อย่าง ฝึกเขียนหรือคิดถึงสิ่งดีๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่ในชีวิต ดอกไม้เล็กๆหน้าบ้าน เสียงเพลงเพราะๆ กลิ่นกาแฟหอมๆตอนเช้า หรืออะไรก็ได้ ที่เมื่อใจสัมผัสแล้วเป็นสุข
หัวใจที่รู้จักขอบคุณ จะไม่มีวันขาดแคลนความสุขแน่นอน
.
I – Intention Setting
.
ตั้งเป้าหมายเชิงบวกในแต่ละวันให้แจ่มชัด ตื่นเช้ามาตั้งใจไว้ว่า วันนี้เราจะมองโลกในแง่ดี หรือ “เราจะใจเย็นและใจดีกับตัวเองให้มาก”
“ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น…แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราตั้งใจจะเป็น”
.
C – Cognitive Reframing
.
เปลี่ยนมุมมอง เวลาพบเรื่องไม่พึงใจ ให้ถามตัวเองว่า “เหตุการณ์นี้สอนอะไรเรา?” หรือ “เราจะมองมันในมุมกลับที่ดีกว่าได้อย่างไร?” เราอาจเหนื่อยที่ต้องปีนเขา แต่เราเปลี่ยนภูเขาทั้งลูกไม่ได้…แต่จงเปลี่ยนวิธีปีน
….
สรุป
.
ความคิดลบเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่การปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสของธรรมชาติอาจไม่ดีแน่ หากเรื่องลบๆมาคอนโทรลชีวิตเรามากเกิน ร่างกายคงแบกไว้ได้ไม่นาน
.
สติ เมตตา และการฝึกใจด้วยเทคนิค M.A.G.I.C นี้ สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้
.
ที่สำคัญ หากเอาไปใช้แล้ว มั่นใจได้เลยว่า ความคิดที่พรั่งพรูมาในแต่ละวัน ความคิดลบจะค่อยๆลดลง จนเหลือน้อยกว่า 75 เปอร์เซ็นต์แน่นอน
เมื่อนั้นคอร์ติซอลก็ไม่พุ่งสูงปรี๊ด
.
เมื่อความเครียดไม่เกิด ความคิดลบก็ไม่มี หัวใจเราก็จะเบาสบาย
.
.

อ่านบทความอื่นๆได้ใน Facebook Page : Hovering Inspirations 👇

https://www.facebook.com/profile.php?id=61558412223812&mibextid=ZbWKwL

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *