ปลายฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ. 1925 เมืองบูร์ซา ประเทศตุรกี แสงแดดอุ่นลูบไล้หลังคาบ้านอิฐแดง ชุมชนเมืองเก่าแก่ของอดีตจักรวรรดิออตโตมัน เด็กหญิงกำพร้าวัย 12 ปี ยืนลังเลอยู่ริมถนนใหญ่
.
วันนั้น มุสตาฟา เคมาล อาตาเติร์ก ผู้นำประเทศเดินทางมาเยือนบูร์ซาในภารกิจส่งเสริมการศึกษาและสิทธิสตรี ภายหลังประกาศยกเลิกการใช้หมวกเฟซแบบดั้งเดิม เพื่อแทนที่ด้วยหมวกแบบตะวันตก อันถือเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบสาธารณรัฐยุคใหม่
.
ผู้คนมาเฝ้ารอเนืองแน่นสถานีรถไฟ แต่เด็กหญิงคนหนึ่งไม่ได้มาเพียงแค่ร่วมชม แต่เธอมาด้วยความหวัง
.
ท่ามกลางฝูงชน เด็กหญิงสืบเท้าเข้าหาชายผู้นำ
.
“หนูอยากเรียนหนังสือค่ะ…”
.
เธอกล่าวกับชายผู้สวมเครื่องแบบขาวสะอาด ผู้ที่ทั้งประเทศรู้จักในนาม ‘อาตาเติร์ก’
.
ชายผู้นำหยุดมอง ก่อนโน้มตัวลงเล็กน้อย
.
“หนูชื่ออะไร”
.
“ซาบีฮา เกิคเชน”
.
ดวงตาดำขลับ จ้องมองผู้นำประเทศไม่กระพริบตา
.
ในสมัยนั้น สถานภาพของสตรีถูกจำกัดในทุกบทบาท ผู้หญิงไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่มีโอกาสเข้ารับการศึกษา ไม่แม้แต่กล้าแสดงความคิดเห็นใดกับบุรุษชั้นผู้นำ มิมีใครกล้ากระทำ
.
ทว่า อาตาเติร์ก เป็นผู้นำที่ไม่เหมือนใคร นาทีนั้น เขาพาลจ้องดวงตาใสๆนั้นกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยเบาๆว่า
.
“ลูกจะได้เรียน… หากคิดอยากจะโบยบิน”
.
ท่ามกลางฝูงชน บ้านเรือนอิฐแดง ไม่มีใครคาดคิดว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์วงการบินโลก ความกล้าหาญเล็กๆของเด็กวัย 12 ปี
เพราะผู้หญิงในยุคนั้นไม่เคยได้รับโอกาสเช่นนี้มาก่อน
.
ซาบีฮาไม่รอโอกาส เธอเดินเข้าไปหามันด้วยเท้าเปล่าและหัวใจที่พร้อมจะลุกโชนเสมอ
.
ปีนั้น เธอกลายเป็นบุตรบุญธรรมของมุสตาฟา เคมาล อาตาเติร์ก และย้ายไปอาศัยที่อังการา เมืองหลวงบนที่ราบสูงอนาโตเลีย ฤดูหนาวที่นั่นเย็นเสียดกระดูก ฤดูร้อนแล้งจัด และไม่มีพื้นที่ไหนอบอุ่นพอสำหรับความฝันของเด็กตัวเล็กๆ จนกว่ามันจะถูกเติมเชื้อไฟไปทีละนิด
.
ซาบีฮาคือหนึ่งในผู้หญิงกลุ่มแรกของประเทศที่ได้เข้าถึงการศึกษาระดับสูงภายใต้อุดมการณ์แห่งความเสมอภาคของอาตาเติร์ก
.
อาตาเติร์กเชื่อว่า ‘การพัฒนาประเทศต้องใช้ทั้งชายและหญิง หาใช่เพียงครึ่งเดียวไม่’
.
ค.ศ. 1935 เธอเข้าร่วมพิธีเปิดโรงเรียนการบินพลเรือนเติร์กคูซู (Türkkuşu) ดวงตาของเธอจับจ้องเครื่องร่อนที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ ดั่งฝันที่จับต้องได้
.
เธอสมัครเข้าเรียนบินที่นั่น เป็นการฝึกบินร่อน (Gliding) มีฝีมือที่โดดเด่น และถูกส่งไปยังสหภาพโซเวียตเพื่อฝึกบินกับเครื่องร่อนขั้นสูงร่วมกับนักเรียนชาย 7 คน
.
ปีต่อมา อาตาเติร์กไม่เพียงแค่เปิดประตูบานใหม่ให้กับซาบีฮา เขาทลายกำแพงที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน
.
เพราะหลังจาก ซาบีฮากลับมาจากโซเวียต อาตาเติร์กประทับใจในศักยภาพของเธอมาก จึงตัดสินใจส่งเธอเข้าเรียนบินในโรงเรียนการบินทหาร
.
โรงเรียนการบินทหารไม่เคยรับผู้หญิงเข้าเรียนมาก่อน
.
ทว่า .. ข้อยกเว้นเกิดขึ้นในยุคนั้น
.
เธอได้สวมเครื่องแบบพิเศษ และเข้าเรียนในโรงเรียนการบินทหารเมืองเอสกิเซเฮียร์ ปี ค.ศ. 1936
.
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการฝึกที่หนักที่สุดในชีวิต
.
เสียงฝึกก้องบนลานฝึก เครื่องบินแผดเสียงคำรามกลางอากาศ กับความเงียบในโรงนอนทหารยามค่ำคืน
.
เธอเป็นเพียงหญิงเดียวของโรงเรียนการบินทหารในเวลานั้น
.
ไม่มีใครรู้ว่าเธอร้องไห้หรือไม่ในคืนแรกกับภาระที่เธอต้องแบกมันไว้ ไม่ว่ามันจะป็นภารกิจ โชคชะตา หรือเครื่องพิสูจน์ หากแต่ว่า เสียงก้องนั้นยังคงค้างคาอยู่ในหู
.
“ลูกจะได้เรียน… หากคิดอยากจะโบยบิน”
.
รุ่งเช้า เธอลุกขึ้นวิ่งด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ พลางคิดถึงสุภาษิตที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กว่า “จงยืดเท้าให้พอดีกับผ้าห่ม”
<Ayağını yorganına göre uzat.> ใช้ชีวิตให้รู้ขีดจำกัด แล้วก้าวเดินอย่างสมดุล
.
ที่นั่นเธอฝึกบินกับเครื่องบินขับไล่ เครื่องบินทิ้งระเบิด เรียนยุทธวิธีการบิน การใช้อาวุธ รวมระยะเวลาเรียนราวๆ 11 เดือน
.
ปี ค.ศ. 1937 เธอปฏิบัติภารกิจบินในสนามรบจริง บินเครื่องบินทิ้งระเบิดทะลวงสู่พื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศ ท่ามกลางลมหนาวที่ตัดผ่านและแรงต้านที่ไม่อาจคาดเดาได้
.
เธอมีชั่วโมงบินรวมมากกว่า 8,000 ชั่วโมง และร่วมภารกิจทางทหารกว่า 30 ครั้ง
.
ปีต่อมา เธอบินเดี่ยวข้ามประเทศในแถบบอลข่าน (บัลแกเรีย โรมาเนีย กรีซ ฯลฯ) โบกธงตุรกีเหนือเส้นขอบฟ้าของรัฐชาติที่เพิ่งฟื้นจากสงคราม
.
สาวน้อยจากบูร์ซา กลายเป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งหญิงผู้มีปีกในโลกยุคใหม่
.
ปี ค.ศ.1938 เธอกลับสู่เติร์กคูซูอีกครั้ง ครานี้ในฐานะหัวหน้าครูฝึกหญิงคนแรกของประเทศ
.
นักเรียนหญิงรุ่นใหม่เงยหน้ามองเธอราวกับเห็นดาวเจิดจรัสผู้นำทาง
.
เพราะเธอไม่ได้บินแค่เพื่อตัวเอง เธอบินเพื่อเปิดทาง สร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อผู้หญิงก็บินได้ เรียนหนังสือได้ และเป็นหัวหน้าครูฝึกได้
.
ปี ค.ศ.1996 กองทัพอากาศสหรัฐฯ เลือกให้เธอเป็นหนึ่งในบรรดานักบินที่มีภาพอยู่บนโปสเตอร์ 20 นักบินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
.
เธอคือหญิงเพียงคนเดียวในนั้น
.
บางครั้งชัยชนะไม่จำเป็นต้องวัดจากเสียงปรบมือ แต่จากความเงียบ .. ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นหลัง
.
วันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2001 เธอเสียชีวิตในวันเกิดของตนเอง
.
ไม่มีพิธีที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีข่าวพาดหัวโลก
.
แต่สนามบินนานาชาติในอิสตันบูลได้ตั้งชื่อตามเธอ ชื่อว่า Sabiha Gökçen International Airport (สนามบินนานาชาติซาบีฮา เกิคเชน) นี่คือเครื่องยืนยันว่าเธอเคยมีอยู่จริงบนผืนฟ้าใบนี้
.
ความฝันไม่ได้จำกัดด้วยเส้นขอบฟ้าที่เราเกิดมา แต่มันกว้างเท่ากับความกล้าที่เรากล้าจะแบกมันไว้
.
และสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งจากเมืองเล็ก ๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของตุรกี จากความกล้าเล็กๆของเด็กวัย 12 ณ ตอนนั้น
.
เธอไม่เพียงแบกมันไว้ แต่เธอบินไปกับมัน
.
….
.
เกร็ดน่ารู้
.
– สำนวน Ayağını yorganına göre uzat. คือสุภาษิตตุรกี อ่านว่า อะ-ยา-อือ-นึ ยอร์-กา-นึ-นา เกอ-เร อู-ซัท .. แปลว่า จงยืดเท้าให้พอดีกับผ้าห่ม
– หลังจากซาบีฮาประสบความสำเร็จในการบินในสนามรบจริง ในปี 1938 เธอได้กลับไปที่โรงเรียนการบินพลเรือนเติร์กคูซูอีกครั้ง ในฐานะ หัวหน้าครูฝึก (Chief Instructor) เพื่อฝึกนักบินหญิงรุ่นใหม่
– ซาบีฮาได้รับการบันทึกใน Guinness World Records ให้เป็น First Female Combat Pilot in the World (นักบินรบหญิงคนแรกของโลก)
– มุสตาฟา เคมาล อาตาเติร์ก (Mustafa Kemal Atatürk) คือ ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐตุรกี (ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1) เป็นผู้วางรากฐานระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐให้กับตุรกี
.
อ่านบทความอื่นๆได้ใน Facebook Page : Hovering Inspirations 👇
https://www.facebook.com/profile.php?id=61558412223812&mibextid=ZbWKwL