หนึ่งในทฤษฎีการเรียนรู้ที่ชื่อว่า Learning Plateau ถือเป็นหัวข้อนึงที่น่าสนใจของศาสตร์งานสอนคนให้บินเป็น ด้วยเพราะศิษย์การบินแต่ละคนล้วนมีแครักเตอร์ที่หลากหลาย บางคนหัวไวเซนส์ดี บางคนหัวช้าแต่ขยัน ในห้วงเวลาของการฝึกบินนั้น แต่ละคนจะมีช่วงปรับตัวที่แตกต่างกันไป
.
บางช่วงบางตอน จะมีอาการชะงักงันโดยไม่รู้ตัว ครูที่สอนจะพบว่าศิษย์ที่ฝึกบินอยู่ด้วยนั้นไม่ค่อยมีความก้าวหน้าหรือแทบจะหยุดนิ่ง สภาะวะนี้เราเรียกกันว่า ‘Learning Plateau’
.
มันคือรอยต่อนึงของกระบวนการพัฒนาทักษะ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะคนเราแต่ละคนจะมีวิธีการเรียนรู้และซึมซับข้อมูลที่แตกต่างกัน
.
ครูการบินจำเป็นต้องเข้าใจลักษณะของศิษย์แต่ละคน แล้วหาวิธีสอนให้ตรงจริต ตามสไตล์ มีลูกล่อลูกชน และดักจับอาการ Learning Plateau นี้ให้ได้ ในตำราทฤษฎีครูการบินได้จำแนกแครักเตอร์ของผู้เรียนออกเป็น 7 แบบได้แก่
.
1. ศิษย์ที่ชอบกังวล / ลังเล / ไม่มั่นใจ (Nervous or Underconfident)
.
หากสังเกตว่าศิษย์มีความไม่มั่นใจหรือกังวลในห้วงการฝึกใดก็ตาม เช่นห้วงการฝึกทำท่าออโต้โรเตชั่น แล้วเห็นอาการกลัว ความลังเลในการใช้คันบังคับ จนกระทั่งความก้าวหน้าของทักษะด้านการคอนโทรลเครื่องค่อยๆคงที่ ไม่คืบหน้า แบบนี้แสดงว่าเริ่มเข้าสู่สภาวะ Learning Plateau
วิธีช่วยดึงให้ศิษย์ออกจากกราฟขาคงที่นี้คือ เน้นให้เขาโฟกัสไปที่ความก้าวหน้าทีละนิด ทีละขั้น ไม่เร่งรัด ฝึกซ้ำๆ และให้กำลังใจ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและไม่กดดันว่าต้องรีบทำให้สำเร็จ
.
2. ศิษย์ที่มั่นใจเกินไป (Overconfident or Conceited)
.
คนประเภทมั่นใจเกินไป มักเป็นพวกหัวไวเซนส์ดี เรียนรู้เร็ว จุดด้อยคือมักมองข้ามรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ทำให้อาจพลาดบางสิ่งที่สำคัญ จนกระทั่งทักษะหยุดนิ่ง ไม่ก้าวหน้า
เทคนิคคือต้องเพิ่มโจทย์ยาก เน้นรายละเอียด และวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ หมั่นกระตุ้นเสมอให้เขารู้ว่า ความสมบูรณ์แบบไม่ได้อยู่ที่ความเร็วเพียงอย่างเดียวหากแต่ต้องการความถูกต้องและแม่นยำด้วย
.
3. ศิษย์ที่ชอบลืมง่าย (Forgetful of Instruction)
.
บางคนต้องการการทบทวนบ่อยๆ เพราะมักลืมสิ่งที่เรียนไป แม้ว่าจะเข้าใจมันไปแล้วก็ตาม โดยสถิติบอกว่า นักเรียนมักจะลืมเนื้อหาไป 60% ของสิ่งที่เรียนภายในระยะเวลา 1 เดือน
หากเจอศิษย์ประเภทนี้ ต้องทุ่มเทขึ้นอีกนิด เพิ่มเวลา briefing และ debriefing ให้มากขึ้น หมั่นทบทวน หมั่นรีวิวบทเรียนให้บ่อยขึ้น ที่สำคัญ ฝึกให้ศิษย์จดบันทึก ตรงนี้จะช่วยได้มาก
.
4. ศิษย์ที่มีความก้าวหน้าไม่สม่ำเสมอ (Inconsistent Learner)
.
มันก็มีประเภทที่บางวันบินดี บางวันบินไม่ดี ดูแล้วไม่ค่อยมีความเสมอต้นเสมอปลาย ส่วนใหญ่มักเป็นที่ปัจจัยภายนอก เช่น ความเครียด ความเหนื่อยล้า และเรื่องส่วนตัว
ครูจำเป็นต้องหาสาเหตุของความไม่สม่ำเสมอนั้นให้ได้ หรือบางครั้งอาจจำเป็นต้องปรับเทคนิคการสอนให้เหมาะกับจังหวะการเรียนรู้ของศิษย์แต่ละคน
หรือจะใช้เครื่องมือ ‘Mental Checklist’ เข้ามาจับก็ได้ เพื่อช่วยลดความเครียด ช่วยร้อยเรียงสมองให้จัดลำดับความนึกคิดออกภายใต้สถานการณ์ที่กดดันบนท้องฟ้า
.
5. ศิษย์ที่เริ่มต้นช้าหรือหัวช้าเมื่อครั้งเริ่มฝึกใหม่ๆ (Slow Starter)
.
บางคนใช้เวลานานกว่าปกติที่จะทำความเข้าใจในบางเรื่อง กลุ่มนี้จะมีอาการท้อแท้ง่ายเมื่อเจอความยาก
เทคนิคคือ ครูต้องอดทนให้มาก ให้เวลา อย่าใจร้อนกับศิษย์ ใช้เทคนิคซอยการสอนออกเป็นขั้นตอนเล็กๆ บางทีต้องหาคำพูดเฉพาะ คำสั้นๆที่เมื่อศิษย์ฟังแล้วเข้าใจง่าย ประกอบกับใช้หลัก Positive Reinforcement เพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้กัน
.
6. ศิษย์ที่เริ่มต้นเร็วหรือพวกเรียนรู้ไว (Fast Starter)
.
เคยเจอมากับตัว ศิษย์ที่มาจับคันบังคับครั้งแรกแล้วเอาเครื่องอยู่ ทำท่า Hovering ได้แม้จะไม่นิ่ง แต่ก็เหลือเชื่อมาก (ตามสถิติใน 30 คน จะเจอ 1 คนที่ทำได้แบบนี้)
ศิษย์ประเภทนี้จะเรียนรู้ไวมาก แต่เมื่อไปเจอบางบทเรียนที่ยาก ท่าทางการบินที่ยาก กลับทำให้ชะงักงันไป
กลุ่มนี้มักจะเรียนรู้ได้ไวและดูเหมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อเจอเนื้อหาที่ยากขึ้นหรือบางบทเรียนที่ไม่ถนัด จะเริ่มมีอาการชะงัก ความก้าวหน้าจึงเริ่มแผ่วลง
เมื่อเจอแบบนี้ อาจต้องลองเปลี่ยนไปทำท่าทางอื่นๆบ้าง เปลี่ยนบรรยากาศการฝึก ไม่จำเป็นต้องทำซ้ำในบทเรียนเดิมๆ และเน้นย้ำเสมอว่า การเรียนรู้มันต้องใช้เวลา อย่าไปใจร้อนกับมัน
ที่สำคัญอย่าได้ปล่อยให้เขาหยุดอยู่แค่ระดับที่คิดว่าพอใจแล้ว
.
7. ศิษย์ที่ขาดวุฒิภาวะ (Immature Student)
.
บางคนยังขาดความรับผิดชอบและวินัย ไม่จริงจัง ไม่ให้ความสำคัญกับขั้นตอนรายละเอียดต่างๆ ซึ่งจะบอกว่าสำหรับวิชาชีพนักบินนี้ สิ่งสำคัญสูงสุดที่ทุกคนพึงมีคือเรื่องของ ‘วินัย’ ฉะนั้นหากเจอศิษย์แบบนี้ สันนิษฐานไว้ก่อนได้เลยว่า อาจถูกบังคับมาเรียน ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยส่วนตัว มันบ่งบอกว่าขาดแรงจูงใจมาตั้งแต่ต้น
ทางแก้คือ กำหนดกฎกติการ่วมกัน ครูต้องเป็นตัวอย่างที่ดี หมั่นคอยกระตุ้นศิษย์อยู่เสมอ บางครั้งจำเป็นต้องใช้ไม้แข็งบ้าง คอยตบให้อยู่ในกรอบ เพราะมันคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
….
สรุปแล้ว
.
Learning Plateau คือสิ่งที่นักบินทุกคนต้องเจอ ครูการบินต้องดักจับอาการนี้ให้ได้ ต้องมีเทคนิคสารพัดในการสอน รู้จักประยุกต์บทเรียน งานสอนคนบนฟ้าไม่ง่าย ไม่ใช่ว่าศิษย์ทุกคนจะต้องได้รับการสอนเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องสอนเรียงตามบทเรียนเสมอไป และครูจะต้องคอยปรับเปลี่ยนวิธีการสอนอยู่เสมอ เสมือนดึงเอาศิษย์เข้ามามีส่วนร่วมกับการฝึกนั้นๆ เหมือนปรุงอาหาร ให้เขามาร่วมทำอาหารด้วยกัน ปรุงเอง ทานเอง อย่างไรอย่างนั้น
.
กระบวนการเรียนรู้จึงไม่ใช่แค่การบอก ไม่ใช่เพียงแค่การสอน แต่มันคือการดึงศิษย์ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน
เหมือนที่ เบนจามิน แฟรงคลิน เคยบอกเอาไว้ว่า
“Tell me and I forget. Teach me and I remember. Involve me and I learn.”
.
จะก้าวข้ามเส้นกราฟขาคงที่ของ Learning Plateau ไปได้นั้น ครูจึงสำคัญนัก มองให้ทะลุว่าใครมีบุคลิกอย่างไร เอาทฤษฎีมาจับ จากนั้นก็พลิกแพลง
….
สาระเพิ่มเติม
.
Mental Checklist – เช็กลิสต์เพื่อการคิด ทางการบินเรามักชอบออกแบบคำหรือประโยคสั้นๆเพื่อให้ง่ายต่อการจำและถูกนำเอามาใช้ได้ทันทีอย่างรวดเร็ว เช่น เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องรีบเอาเครื่องร่อนลงทันที อาจจำสั้นๆว่า A.B.C. => Airspeed, Best landing site, Checklist (คอนโทรลความเร็ว เลือกพื้นที่ลง ทำตามเช็กลิสต์) หรือการฝึกสแกนเครื่องวัดบนเครื่องเป็นรูปตัวอักษร T เป็นต้น
.
Positive Reinforcement – การเสริมแรงบวก เป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่ใช้ในการฝึกอบรม เช่นการให้รางวัลหรือการชมเชย เป็นการสนับสนุนพฤติกรรมที่ถูกต้อง ส่งเสริมให้พฤติกรรมนั้นเกิดขึ้นซ้ำๆ เมื่อศิษย์ได้รับคำชมในท่าทางที่ฝึกทำจนชำนาญ จะเกิดความมั่นใจ ทักษะนั้นจะถูกพัฒนาขึ้นอย่างยั่งยืน
.

.
อ่านบทความอื่นๆได้ใน Facebook Page : Hovering Inspirations 👇
https://www.facebook.com/profile.php?id=61558412223812&mibextid=ZbWKwL