Skip to content

คิดนอกกรอบ + Growth Mindset = ทางรอดขององค์กรในยุค 4.0

หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่จะทำให้องค์กรแตกต่าง สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาส กระเด้งกระดอนจากจุดต่ำสุดพลิกเป็นขาขึ้นได้ก็คือเรื่องของ ‘การคิดนอกกรอบ’ และ ‘Growth Mindset’
.
เคยไหมเวลาทำงานแล้วเจอสถานการณ์แบบนี้
.
“ตั้งแต่พี่อยู่มา ไม่เคยมีใครทำแบบนี้นะ”
.
“ทำไม่ได้หรอก มันติดระเบียบ”
.
“เชื่อผมสิ ผมอยู่ที่นี่มา 20 ปีแล้ว .. ไม่มีทาง”
.
“ถ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อไป ก็อย่าไปขวางเลย”
.
“ทำแบบนี้จะอยู่ยาก .. เชื่อสิ”
.
“ทำๆไปเถอะ เขาก็ทำกันมาแบบนี้ตั้งนานแล้ว”
.
ตัวอย่างประโยคด้านบนมักมาจากกลุ่มคนที่กร้านองค์กรมาอย่างโชกโชน ประเภทอยู่มานานแล้วเข้าสู่สภาวะ ‘Fixed Mindset’ (กรอบความคิดจำกัด)
.
ในอดีตพวกเขาอาจเคยเป็นคนที่ตั้งคำถามมากมายมาก่อนเมื่อครั้งเข้างานมาใหม่ๆ และถูกระบบหลอมพฤติกรรมไปเรื่อยๆ จนมีแนวคิดการทำงานแบบ ‘ทำตามๆกันมา’ หรือที่เรียกกันว่า ‘Norms’
.
เรื่องนี้สำคัญ นอกจาก ‘กรอบความคิดจำกัด’ จะฉุดรั้งองค์กรให้ไม่ไปต่อแล้ว มันยังเกี่ยวพันกับเรื่อง Safety เรื่องการทำงานเป็นทีม เรื่องสังคมเป็นพิษเพราะมาเฟียองค์กร และลุกลามไปอีกสารพัดเรื่องราว
.
เพราะการทำงานยุคใหม่ไม่เหมือนยุคเก่า .. โลกยุค 4.0 มีหูตารายรอบ ต่อม ‘เอ๊ะ’ ของคลื่นลูกใหม่มีเพียบ ทำงานกับคนเจนใหม่ ต้องปรับตัวให้ทัน .. ต้องผสานดิจิทัลกับแอนะล็อกให้เป็น
.
ต้นทศวรรษ 2000 โนเกียและBlackBerry ประสบความสำเร็จในธุรกิจมือถือ เป็นสองยี่ห้อยักษ์ใหญ่ในวงการ โดยเฉพาะ BlackBerry ที่มีปุ่มกดมากมายใช้งานได้ครบทุกฟังก์ชั่น
.
ครั้นปี 2007 ไอโฟนถือกำเนิดขึ้นมา ช่วงแรกพี่ BlackBerry มีทีท่าว่าไม่กลัว เพราะคิดว่าแนวคิดของโทรศัพท์มือถือแบบไม่มีปุ่ม มันแค่ฉาบฉวย ผู้คนคงเห่อใช้ได้ไม่นาน ในขณะที่พี่ใหญ่โนเกียก็สาละวนอยู่กับกรอบความคิดเดิมๆและมีเรื่องการเมืองภายในองค์กรมากมาย
.
พอผ่านไป 3 ปี BlackBerry และโนเกียก็ปิดบ้านทันที และไม่มีโอกาสพลิกฟื้นขึ้นมาตีตื้นมือถือที่มีหน้าจอโล่งๆ ไร้ปุ่ม เรียบง่าย .. ใครจะคิดว่าแนวคิดง่ายๆนอกกรอบเช่นนี้จะล้มครืนยักษ์ใหญ่เช่น BlackBerry และโนเกียได้ภายในเวลาไม่ถึง 3 ปี
.
เพราะพี่โนเกียเอาแต่พูดว่า
.
“ทำแบบนี้จะอยู่ยาก .. เชื่อสิ”
.
ส่วนพี่ BlackBerry ก็เอาแต่พร่ำว่า
.
“ตั้งแต่พี่อยู่มา ไม่เคยมีใครทำแบบนี้นะ”
.
องค์กรใหญ่แค่ไหนก็ต้องมีวันเข้าสู่จุดต่ำสุด ยิ่งธุรกิจที่มีคู่แข่งด้วยแล้ว ค่ายไหนมีเด็กเจนใหม่ที่ชอบคิดนอกกรอบ ต้องรีบคว้าไว้ แต่ต้องเลือกคนดีๆ ความหมายคือ ‘นอกกรอบได้แต่ต้องไม่หลุดศีลธรรม’
.
คนคิดนอกกรอบที่น่าคัดเฟ้นเข้างานด้วยต้องมีคุณสมบัติครบทั้ง 5 อย่างนี้
.
1. กล้าแตกต่าง
2. คิดสร้างสรรค์
3. รู้รอบ รู้ลึก
4. ทันเทคโนโลยี
5. เปิดกว้างและถ่อมตน
.
สังเกตได้ว่าหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของคนคิดนอกกรอบในยุค 4.0 นี้คือเรื่องของการตามให้ทันเทคโนโลยี
.
เทคโนโลยีสำคัญมาก ยิ่งปัจจุบันโลกอยู่ในยุคดิจิทัลเต็มใบ ใครไม่ทันเทคโนโลยีจะตกยุคทันที ตอนนี้ต้องมองให้ไกลกว่าโลก 4.0 แล้ว นั่นคือมองไปถึงยุค 5.0 ยุคผสมผสานเทคโนโลยีกับมนุษย์ ไปถึงยุค 6.0 , 7.0 .. ใครคิดนอกกรอบไปไกลกว่านั้นได้ยิ่งได้เปรียบ
.
ย้อนกลับมาดูบางองค์กรที่ยังใช้กระดาษเขียนหนังสือเสนอผู้บริหาร ส่งตามลำดับสายงาน พิธีกรรมเยอะ จะทำอะไรต้องตั้งคณะทำงาน ประชุมเช้า สาย บ่าย เย็น ติดกับดัก ‘ระเบียบ’ ที่มนุษย์เขียนขึ้นมาเอง ติดกับดัก ‘ระบบ’ ติดกับดักกรอบความคิดตัวเอง ติดกับดักกรอบความคิดจำกัด หรือ ‘Fixed Mindset’ ..
มีแต่ติดกับติด .. จึงมีแต่คำว่า “ไม่มีทาง”
.
‘Fixed Mindset’ ตรงข้ามกับคนประเภท ‘Growth Mindset’ เพราะกลุ่มคนที่มี ‘Growth Mindset’ คือกลุ่มที่มีกระบวนการคิดแบบพัฒนา ยืดหยุ่น เชื่อในศักยภาพของตน กล้าเสี่ยง กล้าลุย กล้าออกนอกกรอบอย่างมีหลักการ
.
ส่วนใหญ่องค์กรที่มีอายุมากกว่า 50 ปี จะเริ่มอุ้ยอ้าย มีพนักงานยุคเก่ามาก และส่วนใหญ่ตามเทคโนโลยีไม่ทัน หนักกว่านั้นคือ มักมีคนประเภท ‘Fixed Mindset’ มาก คนกลุ่มก้อนนี้ สมองไม่รับฟังอะไรแล้ว แถมยังยึดติดระบบแอนะล็อก ไม่เอาดิจิทัล ไม่รู้จักพลิกแพลง
.
คำถามคือ องค์กรมีอัตราส่วนของพนักงานประเภท ‘Growth Mindset’ และ ‘Fixed Mindset’ อย่างไหนมากกว่ากัน หากมีกลุ่มคนประเภท ‘Growth Mindset’ มากกว่า แม้จะเข้าสู่จุดต่ำสุด การจะพลิกให้กระเด้งกระดอนกลับไปสู่ยุครุ่งเรืองอีกคงไม่ยาก .. เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มักมีความคิดนอกกรอบที่สร้างสรรค์ มีพลังบวกที่เยอะ ขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตได้
.
แต่หากมีกลุ่ม Fixed Mindset มากกว่า แบบนี้ต้องรีบแก้ไข การจะปรับ Mindset ได้นั้นต้องใช้เวลา ใช้หลักการ ‘โค้ช’ เข้ามาช่วย ถ้าปรับไม่ได้ก็ตัวใครตัวมัน เพราะเมื่อถึงจุดต่ำสุด กราฟจะดิ่งลงต่อเป็นติดลบ เมื่อนั้นก็คงไม่ต่างกับพี่ BlackBerry และพี่ใหญ่โนเกียในอดีต
.
ยุคก่อนผู้บริหารอาจชอบพนักงานประเภท ‘เชื่อง’ ทำตามระบบ ยึดติดระเบียบ อยู่ในกรอบ แต่หากอยากเปลี่ยนแปลงองค์กร ต้องเปลี่ยนกรอบความคิดใหม่ ต้องสรรหาคลื่นลูกใหม่ประเภทชอบคิดเชิงวิพากษ์ รู้จักตั้งคำถาม และกล้าโต้แย้ง .. หาคนคิดนอกกรอบที่มีคุณสมบัติ 5 อย่างตามที่กล่าวมาข้างต้นพร้อมมี Growth Mindset (กระบวนการคิดแบบเติบโต) เข้ามาร่วมงาน
.
สำรวจดูดูองค์กรของเราว่า มีปุ่มเยอะเกินไปเหมือน BlackBerry ไหม ยึดติดกรอบเดิมๆแบบโนเกียรึปล่าว และพนักงานส่วนใหญ่ถูกฝึกให้มีกระบวนการคิดแบบ Growth Mindset + คิดนอกกรอบบ้างแล้วรึยัง ..
.
หากในองค์กรยังพบเจอคนที่ชอบพูดว่า
.
“ทำไม่ได้หรอก มันติดระเบียบ”
.
แบบนี้ต้องเร่งปรับ Mindset ด่วน ..เพราะเดี๋ยวไม่ทันกิน (ไม่ทันคู่แข่ง)
.
แป๊บเดียวเดี๋ยวโลกก็หมุนเข้าสู่ยุค 5.0 แล้ว
.
จะรอดหรือจะร่วงมันอยู่ที่ Mindset ล้วนๆเลย
….
ป.ล.
.
บางองค์กรอาจมีโครงสร้างที่ต้องยึดถือระเบียบไว้เหนียวแน่น เนื่องจากมีพิธีกรรมเยอะในการแก้ไขเปลี่ยนแปลง พนักงานอาจเปลี่ยนจากคำพูดที่ว่า “ทำไม่ได้หรอก มันติดระเบียบ”
.
โดยเปลี่ยนมาใช้คำพูดว่า
.
“เรามาช่วยกันดูดีไหมว่าติดอะไรตรงไหน เผื่อจะช่วยกันปรับแก้หาทางออกร่วมกันได้”
.
แบบนี้ เท่ากับเป็นการ Format สมองแบบ Fixed Mindset ให้เป็น Growth Mindset แล้ว .. >> หลักจิตวิทยาเชิงบวกเน้นๆ
.
.

อ่านบทความอื่นๆได้ใน Facebook Page : Hovering Inspirations 👇

https://www.facebook.com/profile.php?id=61558412223812&mibextid=ZbWKwL

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *